แนวคิดด้านการเงินล่าสุด... จากธนาคารกลางจีน

หลังจากที่เป็นเสือซุ่มมานานกว่าหลายสิบปี ธนาคารกลางจีนหรือ PBOC ได้เริ่มเปิดเผยมุมมองด้านนโยบายการเงินและเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น โดยในช่วงปี 2025 เท่าที่ผมสังเกต พบว่าแบงก์ชาติจีนได้ส่งสัญญาณต่อสาธารณชนในสองประเด็นหลัก ดังนี้

หนึ่ง ‘พยายามลดจำนวนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงให้น้อยลง’: โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีน ถือว่าค่อนข้างมีหลายตัว ซึ่งแตกต่างจากธนาคารกลางของประเทศตะวันตกที่มักจะมีอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ผมขอแนะนำอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของจีน ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง ที่มีชื่อว่า MLF (Medium-term Lending Facility) หรือแหล่งเงินกู้สำหรับระยะเวลาปานกลาง

MLF เริ่มต้นถือกำเนิดในปี 2014 เพื่อชดเชยการลดลงของการซื้อสำรองเงินตราระหว่างประเทศและเพื่อให้อุปทานของฐานเงินมีความเสถียรมากขึ้น โดยวิวัฒนาการของ MLF แบ่งเป็น 3 เฟส:

เฟสแรก MLF ในฐานะเครื่องมือเสริมต่อเครื่องมือนโยบายการเงินหลักสำหรับการช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง ในช่วงแรก MLF ยังแบ่งอายุเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 3 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี สำหรับวงเงินรวมทั้งหมดของ MLF ในช่วงนั้นมีไม่เกิน 1 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ PBOC พึ่งพา อัตราส่วนสำรองตามกฎหมาย หรือ RRR (Required Reserve Ratio) ในการเสริมสภาพคล่องสำหรับระยะเวลาปานกลางและระยะยาวต่อตลาด ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน 2017 MLF ได้ถูกตัดให้เหลือ 1 ช่วงอายุ คือ 1 ปี เพื่อให้เพิ่มฐานะในฐานะเครื่องมือนโยบายการเงินหลักอย่างเต็มตัว  และมีการเพิ่มปริมาณสินเชื่อดังกล่าวอย่างค่อนข้างรวดเร็ว

เฟสที่สอง MLF ได้เปลี่ยนจากเครื่องมือด้านการปล่อยสินเชื่อ เข้าสู่เป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณระดับอัตราดอกเบี้ยของตลาดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง นับตั้งแต่ปี 2019 ธนาคารกลางจีนได้พยายามสร้างกรอบปฏิบัติการด้านการใช้ประโยชน์ต่อ MLF ในช่วงทุกกลางเดือน เพื่อให้ปฏิบัติการด้านนโยบายการเงินมีความโปร่งใส ความสม่ำเสมอ และความสามารถในการถูกคาดการณ์ได้ โดยในเดือนสิงหาคม 2019 ธนาคารกลางจีนได้คำนวณ LPR (Loan Prime Rate) โดยใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อลูกค้าชั้นดีของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของจีน โดย LPR จะถูก Pricing ผ่านการตั้งสเปรดเพิ่มจาก MLF ทั้งนี้ สเปรดจะถูกกำหนดโดยปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ต้นทุนแหล่งเงินของแบงก์ต่าง ๆ, ความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน และ risk premium ซึ่งทำให้ LPR จัดเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของตลาดที่สะท้อนสภาวะอุปสงค์และอุปทานของแบงก์ชาติจีน ซึ่งในช่วงเฟสที่สองนี้ Reverse Repo ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น และ MLF ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะปานกลาง

เฟสที่สาม อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา MLF ได้ถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นเครื่องมือด้านการปล่อยสินเชื่ออีกครั้ง โดยธนาคารกลางจีนได้ทำการลดประเภทของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงหรืออัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนให้เหลือ Reverse Repo แบบ 7 วัน เพียงประเภทเดียว

จึงทำให้ MLF ได้ถูกกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่านวิธีการประมูลอัตราดอกเบี้ย (Dutch Auction แบบ Variable-rate) หลังจากที่ LPR ได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้า ในปี 2023 MLF ได้แตะระดับ 2.5 ล้านล้านหยวน หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณเงินในการเสริมสภาพคล่องทั้งหมด ซึ่งรวมถึง RRR, Reverse Repurchase Agreement ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป และเครื่องมือด้านนโยบายการเงินที่ใช้สำหรับโครงการที่ภาครัฐต้องการส่งเสริม ทำให้ปริมาณคงค้างของ MLF

ในเดือนกรกฎาคม 2024 มีมูลค่ารวมเข้าสู่ระดับ 7.3 ล้านล้านหยวน หรือ 15% ของปริมาณสินทรัพย์ของธนาคารกลางจีน อย่างไรก็ดี ในช่วงปีที่ผ่านมา ปริมาณ MLF ได้ลดลงเล็กน้อยจากจุดสูงสุด เนื่องจากมีการลดอัตราส่วน RRR ลง และ LPR ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันในส่วนของระดับอัตราดอกเบี้ยอีกต่อไป จนกระทั่งในเดือนมีนาคม 2025 MLF จึงมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่านการประมูลโดยสมบูรณ์แบบ

สอง ‘การใช้ภาคบริการด้านการเงินในการกระตุ้นภาคการบริโภค’ โดยในปี 2025 รัฐบาลจีน ได้ตั้งเป้า 3 จุดหลัก ได้แก่ การกระตุ้นภาคการบริโภคแบบเข้มข้น, การปรับปรุงประสิทธิภาพของการลงทุน และการเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศในทุกระดับ

ทั้งนี้ หากพิจารณาในมิติเชิงโครงสร้าง การเติบโตของการบริโภคของสินค้าแบบทั่วไปถูกกดดันไม่ให้สามารถทำได้ เนื่องจากตลาดที่อิ่มตัวและความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ในขณะที่อุปสงค์ของการบริโภคภาคบริการยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ ได้ค่อย ๆ เพิ่มความสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ การให้สนับสนุนด้านการเงินต่อการบริโภคได้เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมต่อการนี้อย่างชัดเจน หากว่ายังสามารถพัฒนาให้ดีกว่าปัจจุบันได้อีก ทั้งนี้ จีนมีระบบการให้บริการทางการเงินซึ่งหนุนการบริโภคในระดับชั้นต่าง ๆ ผ่าน แบงก์ บริษัทการเงินที่เน้นด้านการบริโภค และบริษัทเช่าซื้อรถยนต์ โดยแบงก์ให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านการ trade-in หรือนำของที่ใช้แล้วมาแลกซื้อของใหม่ หรือ ให้ซื้ออุปกรณ์กีฬาฤดูหนาวในราคาถูก อย่างไรก็ดี มีบางเซกเตอร์ อาทิ การให้บริการด้านการเงินต่อในส่วน Infrastructure อย่างไรก็ดี ด้านการบริโภคและระบบขนส่งโลจิสติกส์ยังต้องได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินทางตรงที่ใช้ทำการสนับสนุนการบริโภค อย่างหุ้นและบอนด์ ยังคงมีไม่มากนัก อีกทั้งความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อยังอยู่ในระดับต่ำ

หากมองไปในอนาคต ธนาคารกลางจีนมีแผนที่จะกระตุ้นการบริโภคผ่านเครื่องมือนโยบายการเงิน อาทิ การลด RRR และการซื้อหรือขายพันธบัตรในตลาดเพื่อให้ตลาดเงินมีสภาพคล่องที่ดี อีกทั้งจะออกผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อเซกเมนต์หรือเขตพื้นที่ซึ่งมีความต้องการ รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อเพื่อการบริโภคและรถยนต์ผ่านการออกพันธบัตร การทำ Securitization และการสนับสนุนอุปทานด้านสินเชื่อ โดยจะเน้นในส่วนของร้านอาหาร โรงแรม การขนส่ง การท่องเที่ยว การช็อปปิ้ง การบันเทิง และสาธารณสุข

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com