
หลังวิกฤตซับไพร์มเมื่อ 17 ปีที่แล้ว เป็นที่คาดหมายกันว่าโดมิโน่ที่จะก่อให้เกิดวิกฤตในรอบต่อไป น่าจะเป็น nonbank ซึ่งหมายรวมถึงกองทุนบำนาญ บริษัทประกัน กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ และกองทุนรวมแบบปลายเปิด จนมาถึงในปัจจุบัน ความเสี่ยงดังกล่าวดูจะสูงขึ้นมากจากความซับซ้อนในโลกการเงินที่มีสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถือเป็นความเสี่ยงด้านการเงินเป็นอันดับ 1 ในมุมมองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF
โดยปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ nonbank เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีดังนี้
รัฐบาลสามารถมีเจ้าหนี้รายใหม่ช่วยเสริมสภาพคล่องและกดอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรให้ลดลง: nonbank แห่งใหม่ๆช่วยเสริมเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดพันธบัตรสหรัฐด้วยการเป็นผู้ซื้อพันธบัตรรายใหญ่ซึ่งช่วยให้ตลาดสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมกับลดภาระดอกเบี้ยให้กับรัฐบาลที่จะต้องจ่ายลูกหนี้โดยในสหรัฐบริษัทเฮดจ์ฟันด์อย่าง Citadel และ Jane Street ได้พัฒนาโมเดลทางธุรกิจผ่านเทคโนโลยีการเทรดแบบ high-frequency และผ่าน algorithmic ซึ่งได้สร้างเทรนด์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้
ธุรกิจขนาดกลางสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายขึ้นเพื่อนำไปใช้สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจการจ้างงานและความคล่องตัวทางการเงิน: โดยกองทุนสินเชื่อเอกชนหรือ Private Credit Fund สามารถให้แหล่งเงินต่อธุรกิจที่ใหญ่ทว่าเสี่ยงเกินไปสำหรับแบงก์ท่ีจะปล่อยกู้ทว่ามีขนาดเล็กเกินไปที่จะออกหุ้นกู้เองโดยกองทุนดังกล่าวหลายกองบริหารโดยบริษัท private equity ซึ่งก็ได้รับแหล่งเงินจากแบงก์และ non-bank อื่นๆอาทิกองทุนบำนาญบริษัทประกันและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซึ่งมักจะมีอัตราส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ต่ำและมีแหล่งเงินระยะยาวที่มีเสถียรภาพมากกว่าแบงก์ทำให้มักจะไม่ดีงเงินกลับในช่วงวิกฤตทำให้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อระบบการเงิน
สร้างทางเลือกการกู้ยืมใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก: การให้เครดิตสามารถทำได้หลากหลายมากขึ้นทั้งในมิติของยอดเงินกู้และระยะเวลาที่จะกู้ตั้งแต่สินเชื่อรถยนต์ระยะยาวไปสู่การกู้แบบสินเชื่อ“buy now, pay later”และการกู้ยอดหนี้ขนาดเล็กอย่าง mobile loan ในเคนย่าทั้งนี้ผู้ให้กู้แนว Fintech ได้ขับเคลื่อนเทรนด์ดังกล่าวผ่านการใช้แหล่งข้อมูลใหม่ ๆ ในการวิเคราะห์สินเชื่อและทำให้ค่าบริการถูกลงผ่านการ automation ช่วยปล่อยกู้ยอดหนี้ขนาดเล็ก ๆ ให้กับผู้คนได้มากรายขึ้นสำหรับในประเทศกำลังพัฒนาการจ่ายเงินงวดสินเชื่อผ่านโทรศัพท์มือถือช่วยให้ปล่อยกู้ได้มากรายขึ้น
ช่วยให้นักลงทุนทุกกลุ่มมีทางเลือกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น: ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยปราศจากความเสี่ยงมีระดับที่ลดลงมาเรื่อยๆทว่ากองทุนแบบ Passive ก็เริ่มมีสัดส่วนในตลาดสูงมากขึ้นโดยขนาดสินทรัพย์ต่อตลาดรวมในสหรัฐเพิ่มจาก 19% ในปี 2010 เป็น 48% ในปี 2023 ในขณะที่ nonbank ก็ได้เพิ่มชั้นสินทรัพย์ใหม่ ๆ อาทิอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และโลหะมีค่าให้กับนักลงทุนซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่า nonbank จะไม่รับฝากเงิน ทว่ามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆในโลกการเงิน โดยการกำกับมีความเข้มต่อบริษัทประกัน ทว่าค่อนข้างอ่อนต่อ nonbank ประเภทอื่น ๆ
แม้ว่า nonbank จะส่งผลดีจากการเป็นแหล่งเงินใหม่ต่อเศรษฐกิจ ทว่าก็เพิ่มความเสี่ยงเชิงระบบต่อเศรษฐกิจเช่นกัน ทั้งนี้ ในปัจจุบัน nonbank มีสินทรัพย์ทางการเงินคิดเป็นครึ่งหนึ่งของโลก และแบงก์พาณิชย์ทั่วโลกมี exposure ต่อ nonbank ทั้งหมด ราว $4.5 ล้านล้าน หรือคิดเป็น 9% ของสินเชื่อทั้งหมดในพอร์ต และยังคิดเป็นมูลค่าที่มากกว่าเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของแบงก์ทั้งหมดอีกด้วย นอกจากนี้ nonbank ยังมีกิจกรรมในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนรายวันคิดเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งหมดในโลก โดยขยายตัวกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับ 25 ปีที่แล้ว
จากการที่กลไกการกำกับ nonbank ค่อนข้างอ่อน เมื่อเทียบกับแบงก์ รวมถึงการเปิดเผยมูลค่าสินทรัพย์ สภาพคล่อง และ สถานการณ์เป็นหนี้ ก็ค่อนข้างจำกัด จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบจุดอ่อนที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐิจ
ทำให้มีการทดสอบความเสี่ยงของ nonbank ต่อเศรษฐกิจ เป็นสิ่งจำเป็น โดย IMF เพิ่งเผยแพร่รายงานดังกล่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนี้
ระบบแบงก์ต้องเผชิญความเสี่ยงจาก nonbank อย่าง private credit, อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์คริปโต ทำให้การทดสอบภาวะวิกฤตผ่านแบบจำลองของ IMF ทำผ่านการกระแทกหรือ Shock แบบ stagflationary หรือทั้งเกิด recession และเงินเฟ้อสูงพร้อมกัน ปรากฏว่าหากถือครองสินทรัพย์ทั่วโลก 18% จะทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 แบบ Common equity ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ลดต่ำลง 7%
สำหรับการทดสอบความเชื่อมโยงระหว่างแบงก์ กับ nonbank IMF ได้โฟกัสไปที่ความเสี่ยงแบบ spillover ในการทดสอบภาวะวิกฤต โดยสมมติให้ nonbank เกิดปัญหา อาทิ การถูกปรับลดเครดิต และ มูลค่าหลักประกันลดลง จะทดสอบว่าผลต่อเงินกองทุนและสภาพคล่องของระบบแบงก์จะเป็นอย่างไร?
โดยในฉากทัศน์แบบ Stress ซึ่ง nonbank เสี่ยงขึ้นและต้องเบิกเงินจากไลน์เครดิตของแบงก์ 10% สำหรับในสหรัฐ และ 30% สำหรับในยุโรป ปรากฏว่าอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของระบบแบงก์จะลดลงมากกว่า 1%
นั่นหมายความว่า ความอ่อนแอของ nonbank สามารถนำไปสู่ความเสี่ยงต่อระบบแบงก์ให้สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้การบริหารภาวะวิกฤตทำได้ยากขึ้น
ในขณะที่ยังมีอีกหนึ่งช่องทางที่ nonbank สามารถขยายความเสียหายต่อระบบการเงินได้คือผ่านตลาดบอนด์หลัก ซึ่งมีหลักทรัพย์ตราสารหนี้คุณภาพสูงระดับน่าลงทุน ซึ่งทำหน้าที่เป็น benchmark ให้กับตลาด
การทดสอบทำผ่านการทดสอบด้านสภาพคล่อง liquidity mismatch ในกองทุนรวมแบบปลายเปิด ซึ่งจะดูผลลัพธ์ต่อระบบแบงก์ว่าจะเป็นอย่างไร หากมีการขายหลักทรัพย์อย่างรวดเร็ว โดยที่กองทุนรวมต้องหาหลักทรัพย์มาให้กับผู้ที่มาขายกองทุน โดยเมื่อมีความผันผวนที่สูงขึ้นในตลาด การขายกองทุนของนักลงทุน และ การเรียก margin call จะทำให้กองทุนต้องขาดหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด
การทดสอบนี้ สมมติให้การไหลออกของตราสารหนี้คุณภาพสูงในสหรัฐมีระดับความเร็วเท่ากับช่วงเดือนมีนาคม 2020 และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 80 bp นั่นจะทำให้ต้องขายหลักทรัพย์ราว $2 แสนล้าน โดย 3 ใน 4 ของทั้งหมดเป็นพันธบัตรสหรัฐ
ในขณะที่หากให้ฉากทัศน์ความรุนแรงแบบสุดโต่ง การขายจะเกินศักยภาพที่ระบบจะรับได้ เกิดสภาพติดขัดในกลไกการทำหน้าที่ของตลาด และกระทบต่อตลาด funding โดยรวม สิ่งนี้แสดงถึงความสำคัญของเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงสภาพคล่องที่เพียงพอในการลดการถูกบังคับขายบอนด์
ในภาพรวม การมี nonbank ในระบบการเงิน แม้จะช่วยให้รัฐบาลไม่ต้องพึ่งพาการกู้เจ้าหนี้ต่างประเทศมากมายนัก ซึ่งลดความเสี่ยงของประเทศได้มาก ทว่าก็ไปเพิ่มความเสี่ยงเชิงระบบต่อเศรษฐกิจผ่านความเชื่อมโยงระหว่างแบงก์กับ nonbank โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดพันธบัตรและตลาดการเงิน ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลบริหารความเสี่ยงให้เป็นอย่างดี
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com