
หากพิจารณานโยบายที่เป็นไฮไลท์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในรอบนี้ คงจะขาดนโยบายพลังงานของอเมริกาไปเสียไม่ได้ เนื่องจากมีความแตกต่างจากสมัยโจ ไบเดน อย่างสิ้นเชิง โดยทรัมป์มีสโลแกน “Drill, Baby, Drill” แถมยังพาสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลง Paris Accord ว่าด้วยพลังงานสีเขียวของประชาคมโลก บทความนี้ ขอพามาพิจารณาว่าจะลงทุนในตลาดสหรัฐว่าด้วยกลุ่มพลังงานธีมไหนและตรงไหนดี สำหรับนโยบายพลังงานในยุคทรัมป์ 2.0
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าคำสั่ง Executive Order ของทรัมป์ที่ได้ออกมาก่อนหน้านี้ ว่าด้วย Energy Emergency ที่ประกาศให้มีการอนุมัติการสร้างท่อส่งก๊าซและโรงผลิตไฟฟ้าโดยไม่ต้องเข้าสู่การยื่นขอต่อทางการตามขั้นตอนทางกฎหมายซึ่งมักจะใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน ยังคงเน้นพลังงานในกลุ่มฟอสซิลและนิวเคลียร์เป็นหลัก โดยกลุ่มพลังงานทางเลือก อาทิ แบตเตอรี่ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม อาจจะพอมองได้ว่าถูกด้อยค่าแม้จะไม่ได้ทั้งหมด
โดยหากจะให้เรียงความน่าสนใจในการลงทุนของหุ้น ETF หรือกองทุนในพลังงานประเภทต่าง ๆ ของสหรัฐ ประเมินว่าความน่าสนใจเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ, นิวเคลียร์, และ น้ำมัน ตามลำดับ
เริ่มจากก๊าซธรรมชาติ โดยการเติบโตของอุปสงค์ก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ มาจาก 2 แหล่ง ประกอบด้วย หนึ่ง การส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ไปยังเอเชียและยุโรปที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก และ สอง อุปสงค์ด้านการใช้ไฟฟ้าของ Data Center สำหรับการเทรนนิ่ง Artificial Intelligence (AI) โดยคาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น 10-20% ภายในปี 2030 แม้การยกเลิก sanction ต่อการส่งออกพลังงานของรัสเซียอาจจะทำให้มีคู่แข่งในเซกเมนต์นี้เพิ่มขึ้น ทว่าคงจะไม่ได้ทำให้ตลาดในส่วนดังกล่าวอ่อนตัวลงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ยกเลิกคำสั่งของไบเดนที่สั่งระงับการสร้างท่าเรือที่ไว้เป็นฐานการส่งออก LNG ในสหรัฐเพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม หลังจากที่คาดการณ์ว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 2 เท่าในปี 2028 โดยทรัมป์ได้อนุมัติให้มีการสร้างเพิ่มไปแล้ว เพื่อให้ใช้เป็นฐานการส่งออกในปี 2029 เป็นต้นไป
สำหรับในมุมของการลงทุน ด้าน Dow Jones News Services ได้ออกรายงานว่า แม้ธุรกิจการส่งออก LNG จะถือเป็นกลุ่มที่มีเม็ดเงินอยู่ค่อนข้างมหาศาล อาทิ หุ้น Cheniere Energy มีราคาเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในช่วงปีที่ผ่านมา ถือว่ามีภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยคาดว่าในปี 2027 จะมีอุปทาน LNG ออกมาสู่ตลาดค่อนข้างมาก จะเห็นได้จากหุ้น Venture Global ซึ่งทำธุรกิจ LNG ชั้นนำ ราคาหุ้นได้ร่วงราว 30% นับตั้งแต่ IPO ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายยังมองว่าบริษัทผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติสหรัฐน่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออก LNG ที่มีมากขึ้นในยุคของทรัมป์ อาทิ หุ้น Antero Resources ที่ราคาหุ้นขึ้นมาราว 50% เมื่อปีที่แล้ว ยังคงเทรดด้วยราคา P/E เพียง 13.3 เท่า โดยเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานผลิต LNG ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออก นอกจากนี้ ยังมีหุ้น Chart Industries ที่ผลิตอุปกรณ์ถังเก็บหัวเชื้อที่ใช้ในการผลิต LNG ในโรงงาน ซึ่งได้ลงนามสัญญากับ Exxon Mobil ในการป้อนผลิตภัณฑ์ให้ โดยที่ราคาหุ้นขึ้นมาราว 50% เมื่อปีที่แล้ว ยังคงเทรดด้วยราคา P/E เพียง 15.5 เท่า
แหล่งพลังงานที่น่าสนใจลำดับถัดมา ได้แก่ พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งล่าสุดมีความคึกคักเพิ่มขึ้นจากในอดีต หลังจาก Big Tech อาทิ Microsoft หันมาซื้อพลังงานจากโรงงานผลิตพลังงานนิวเคลียร์ในรัฐเพนน์ ซิลวาเนีย ทั้งนี้ รัฐบาลทรัมป์ก็ดูจะชื่มชอบพลังงงานประเภทนี้อยู่ไม่น้อย จากที่ได้กล่าวถึงใน Executive Order และแต่งตั้งบุคคลที่ชื่นชอบพลังานแนวนี้ อย่าง คริส ไรท์ ซึ่งเป็นบอร์ดของบริษัทแนวดังกล่าวอย่าง Oklo ขึ้นเป็นรัฐมนตรีพลังงานท่านใหม่ รวมถึงความสนใจในพลังงานนิวเคลียร์เห็นได้อย่างชัดเจนมากผ่านงานสัมมนาด้านการเงินว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ที่นิวยอร์ค ที่มีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆกว่า 50% ในช่วงต้นปีนี้
สำหรับการหนุนจากภาครัฐในธุรกิจของอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ นอกจาก Tax credit ที่ได้รับตั้งแต่จากสมัยรัฐบาลไบเดนแล้ว ยังต้องการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากภาครัฐ โดยถือเป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรมนี้ ที่งบประมาณที่ใช้จ่ายจริงสำหรับสร้างโรงงานใหม่หรือทำการขยายโรงงานเก่าจะสูงกว่าที่วางแผนไว้ก่อนหน้า ทำให้นักธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ต้องการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากรัฐบาล
สำหรับราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐ ถือว่ามีอัตราผลตอบแทนที่ถือว่าสูงมากในปีที่แล้ว โดย Oklo ที่ถือว่าเป็น Start-up ซึ่งยังมิได้มีโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เป็น Commercial มีผลตอบแทนให้กับนักลงทุนถึง 300% ในปีที่ผ่านมา
สำหรับหนึ่งในหุ้นกลุ่มนี้ที่ดูแล้วถือว่าน่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มที่ผลิตเชื้อเพลิงสำหรับโรงงานผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ อาทิ หุ้น Cameco ซึ่งเป็นบริษัทแคนาดาที่ถลุงแร่ยูเรเนียมในสหรัฐและแคนาดา รวมถึงถือหุ้นในบริษัท Westinghouse ซึ่งออกแบบ nuclear-reactor โดยที่ราคาหุ้นขึ้นมาราว 13% เมื่อปีที่แล้ว แม้จะเทรดด้วยราคา P/E ถึง 42.3 เท่าในปัจจุบัน
ท้ายสุด พลังงานน้ำมัน แม้ว่าทรัมป์จะมีนโยบายเน้นให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานด้วยการให้อเมริกาผลิตน้ำมันในปริมาณที่สูงขึ้นไปอีก จะไปกดดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ทว่าต้องไม่ลืมว่าทรัมป์ก็ไปกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ที่นำเข้าน้ำมัน อาทิ อินเดีย หันมาซื้อน้ำมันของอเมริกา รวมถึงนโยบายด้านการต่างประเทศของทรัมป์เองที่ต้องการผูกมิตรกับซาอุดิอาระเบีย โดยได้ไปจัดการประชุมเจรจาการยุติสงคราม Gaza ระหว่างอิสราเอลกับคู่กรณีต่างๆที่ซาอุดิอาระเบีย จึงมีความเป็นไปได้เหมือนกันที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงด้านการผลิตน้ำมันกับประเทศยักษ์ใหญ่ในตะวันออกกลางได้ในอนาคต
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com