ทำไม.. ทรัมป์ต้องจุดชนวน Tariff กระหึ่มโลก?

นโยบายกำแพงภาษีแบบกระหึ่มโลกของโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความปั่นป่วนให้กับทุกวงการอย่างที่เรากำลังประสบอยู่นั้น ผมจะขอค่อย ๆ ไล่เรียงถึงความเป็นไป เบื้องหลัง และผลกระทบในสินทรัพย์ต่าง ๆ จากวิกฤตนี้แบบเป็นซีรีส์บทความ โดยบทความนี้ จะขอเริ่มจากสาเหตุที่ทรัมป์ดำเนินนโยบายนี้ และผลกระทบเบื้องต้นในระยะถัดไป

สาเหตุที่ทรัมป์คิดว่า ‘นโยบายกำแพงภาษี’ จำเป็นต่อสหรัฐ:

ทรัมป์เชื่อในสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ เรียกกันว่า Triffin Dilemma ที่ระบุว่า แม้สถานะของเงินดอลลาร์จะมีความเป็นพิเศษหรือที่เรียกกันว่า สถานภาพ exorbitant privilege แห่งเงินดอลลาร์ โดยเป็นเงินสกุลที่เป็นธนาคารกลางทั่วโลกนิยมนำมาใช้เป็นสำรองเงินตราระหว่างประเทศ (Reserve Currency) เสมือนเป็นการส่งออกเงินดอลลาร์ไปทั่วโลก ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นทำให้การส่งออกของสหรัฐลดลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจีดีพีสหรัฐมีสัดส่วนที่ลดลงมาเรื่อย ๆ เมื่อเทียบต่อจีดีพีโลกในช่วงหลัง ยิ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์ในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งมีสถานะ exorbitant privilege แข็งค่ากว่าค่าเงินดอลลาร์ในกรณีที่ดอลลาร์ไม่ได้มีสถานะเช่นนั้นมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสหรัฐยิ่งลดลงกว่าระดับที่ควรจะเป็นมากขึ้นไปอีก

ทั้งนี้ ทางออกที่ทรัมป์มองว่าจะช่วยให้สหรัฐสามารถเลิกถูกโดนเอาเปรียบทางการค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก คือการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากทั่วโลกที่จะเข้ามาขายในสหรัฐ

คำถามคือ หากตั้ง Tariff แบบสุดโต่งนี้แล้ว ทรัมป์ไม่กลัวหรือว่าเงินดอลลาร์จะถูกเงินสกุลอื่น ๆ แซงหน้าเป็นเงินสกุลหลักของโลกหรือ?

คำตอบคือ ทรัมป์ไม่กลัว แต่ก็ออกโรงเตือนว่าจะลงโทษประเทศที่คิดจะสร้างเงินสกุลตนเองหรือจะร่วมกับสกุลเงินพันธมิตรให้เป็นเงินสกุลหลักของโลก

โดยที่ทรัมป์ไม่กลัว เพราะมี 2 ปัจจัยที่จำเป็นต้องมีในการเป็นเงินสกุลหลักของโลก ได้แก่ 1. ต้องสามารถแปลงเป็นเงินสกุลอื่นได้แบบเต็มที่ 100% และ 2. ต้องมีคุณลักษณะการรักษามูลค่าที่มีเสถียรภาพ ซึ่งเงินหยวนของจีนไม่สามารถมีทั้ง 2 สิ่งนี้ ณ ตอนนี้ในขณะที่เงินยูโรของยุโรปก็ถือว่ามีจีดีพีเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีโลกน้อยเกินไป

นอกจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของ Triffin ทรัมป์ยังเชื่อว่าสหรัฐยังต้องแบกรับภาระด้านความมั่นคงทางทหารต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยสิ่งที่ทำให้ทรัมป์ชี้ว่าสหรัฐต้องแบกภาระนี้ได้แก่ดุลการค้าที่ขาดดุลมากขึ้น และสัดส่วนของจีดีพีสหรัฐต่อจีดีพีโลกที่ลดลงเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ดี ในมุมที่ดีของสหรัฐจากสิ่งนี้ คือ การที่แทบทุกประเทศใช้เงินดอลลาร์ในการค้า ทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของสหรัฐลดลงจนต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่ จึงทำให้ต้นทุนทางการเงินของเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้ว่าจะกู้เงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตามที

นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐยังสามารถทำการห้ามไม่ให้เงินสำรองของประเทศที่สหรัฐต้องการเล่นงานถอนเงินนี้ออกไป รวมถึงห้ามไม่ให้ถอนเงินจากบัญชีของธนาคารสหรัฐ ซึ่งถือเป็นอำนาจของรัฐบาลสหรัฐที่ประเทศอื่น ๆ ไม่มีอยู่ในมือ

คำถามถัดไปคือ แล้วทำไมทรัมป์จึงคิดว่านโยบาย Tariff จะไม่กระทบหรือกระทบน้อยต่อสหรัฐเอง แม้จะสามารถเก็บรายได้จากกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้า?

คำตอบคือ ทรัมป์ประเมินว่านโยบาย Tariff จะกระทบต่อเงินเฟ้อสำหรับชาวสหรัฐไม่มากนัก โดยในส่วนของผลกระทบจากการขึ้น Tariff ต่อเงินเฟ้อสหรัฐ ทีมงานของทรัมป์ประเมินว่าการขึ้น Tariff ขนาด 10% ที่ทรัมป์ประกาศต่อทุกประเทศ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐ เพิ่มขึ้น 1% ในขณะที่การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ 10% เพื่อตอบสนองต่อ Tariff จะทำให้ CPI สหรัฐ ลดลง 0.4-0.7% ซึ่งโดยสุทธิแล้ว จะทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 0.3-0.6%

อย่างไรก็ดี ในโลกแห่งความเป็นจริง การตั้ง Tariff ของทรัมป์ ที่เกิดขึ้นแล้ว สถานการณ์ในช็อตถัดไปจะแบ่งเป็น 2 ขั้ว ได้แก่

ขั้วแรก ค่าเงินของประเทศส่งออกไปสหรัฐ จะถูกทำให้อ่อนค่าลง เพื่อให้ราคาสินค้าส่งออกของประเทศตนเองที่ไปสู่สหรัฐในรูปของค่าเงินดอลลาร์ยังคงเท่าเดิม ทำให้รัฐบาลสหรัฐสามารถเก็บภาษีจาก Tariff ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่มีเงินเฟ้อในสกุลเงินของดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขรวมของมูลค่าการค้าของโลกยังคงเท่าเดิม

ขั้วที่สอง ไม่มีการปรับค่าเงินในการทำให้ราคาสินค้าในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ที่นำเข้ามาสหรัฐลดลง หากเป็นเช่นนี้ จะเกิดเงินเฟ้อในสหรัฐจากราคาสินค้านำเข้าสหรัฐที่สูงขึ้น ผ่านการซื้อสินค้านำเข้าที่ต้องจ่ายแพงขึ้นโดยชาวสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มูลค่าสินค้านำเข้าสหรัฐลดลง โดยหันมาบริโภคสินค้าที่ทำการผลิตในประเทศสหรัฐแทน และนั่นเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการให้เกิดขึ้น นั่นคือ การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐให้มากขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ แม้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐสามารถทำการเก็บภาษีนำเข้าได้น้อยลง

โดยในโลกแห่งความเป็นจริง จะเป็นการส่วนผสมระหว่างทั้ง 2 ขั้วดังกล่าว

ทั้งนี้ ทรัมป์เชื่อว่านโยบายกำแพงภาษีของตนเอง จะช่วยให้เกิดการปรับตัวของ Supply Chain ทั่วโลก โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตของประเทศต่าง ๆ ให้เข้ามาในสหรัฐ นั่นคือ จะเกิดการตั้งโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐให้มากขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ

โดยระหว่างที่อยู่ในช่วงของการปรับตัวของมาตรการ Tariff นี้ ทรัมป์จะสร้างกลไกให้ความผันผวนต่าง ๆ ของตลาดการเงินสหรัฐมีขนาดลดลง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะพูดถึงในบทความถัด ๆ ไป

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com