
ในยุค Tariff ของ โดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งที่เป็นความยากสำหรับการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ คือ การประเมิน View ในอนาคต แบบฟันธงว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นไปแทบจะไม่ได้ โดยหากพิจารณาการอัปเดตมาตรการ Tariff ของทรัมป์ จะพบว่าเปลี่ยนแปลงเกือบจะเป็นแบบรายวัน ทำให้การมองภาพเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงที่เหลือของปี 2025 ต้องทำแบบเป็นฉากทัศน์ ซึ่งหนึ่งในมุมมองที่ผมเห็นว่าทำได้ค่อนข้างชัดเจนสุดแม้ว่าดูจะมองโลกในแง่ดีเกินไปบ้างในตอนนี้ มาจาก คริส วาลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่ถือว่าคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐได้แม่นที่สุดในรอบที่ผ่านมา
ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น มาพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ณ ปัจจุบัน กันเสียหน่อย หากวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีตล้วน ๆ ทุกคนคงมองตรงกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐตรงจุดนี้ ยังคงน่าจะแข็งแกร่งพอสมควร โดยหากพิจารณาจากอัตราการเติบโตของจีดีพีสหรัฐในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ที่ 2.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดว่าจีดีพีสหรัฐในไตรมาสแรก ปี 2025 ก็น่าจะยังคงเติบโตอยู่เล็กน้อย
กระนั้นก็ดี ในมิติของข้อมูลแนว Soft data ที่มาจากผลสำรวจของผู้บริโภคและภาคธุรกิจนั้น จะพบว่าส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างรุนแรง ทว่าจากมิติของ Hard data ซึ่งรวมถึงการวัดและประมาณการสภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ แสดงถึงแนวโน้มว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเติบโตอยู่เล็กน้อย
เริ่มจากตัวเลขการใช้จ่ายด้านการบริโภคสหรัฐ ตัวเลขแบบรายเดือนถึงกุมภาพันธ์ ปีนี้ ส่อถึงการชะลอตัวจากปีก่อนอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่าฤดูหนาวปีนี้ของสหรัฐมีความรุนแรงมาก ซึ่งด้วยปัจจัยด้านฤดูกาล ย่อมทำให้เกิดการชะลอตัวของการบริโภคสหรัฐโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ ปัจจัยพิเศษซึ่งน่าจะเกิดขึ้นแบบชั่วคราวจากนโยบาย Tariff ของทรัมป์ซึ่งดูจะมีผลกระทบเชิงลบต่อจีดีพีสหรัฐในไตรมาสแรก ปีนี้ คือ การเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าที่ต้องการซื้อจากต่างประเทศก่อนเวลาที่มาตรการ Tariff ของทรัมป์จะมีผลเกิดขึ้นจริง
ด้านตลาดแรงงาน พบว่าการจ้างงานเติบโต 228,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคม ซึ่งถือว่าสูงเกินคาด และตัวเลขการเปิดตำแหน่งงานใหม่ที่ออกมาถึงกุมภาพันธ์ ปีนี้ ล้วนชี้ไปว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในจุดที่สมดุล ซึ่งเมื่อนำมาประกบกับตัวเลขด้านการบริโภคและการนำเข้า ยังคงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงยืนได้ดีในไตรมาสแรก
หันมาพิจารณาสถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐกันบ้าง เส้นทางของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่จะมุ่งเข้าสู่เป้าหมาย 2% พบว่าในปีที่แล้วถือว่าได้หยุดนิ่งไป อย่างไรก็ดี หลังจากตัวเลขที่ออกมาค่อนข้างยังสูงใน 2 เดือนแรกของปี ตัวเลข CPI เดือนมีนาคม ล่าสุดที่ออกมา ถือว่าน่าชื่นใจ โดย Headline CPI เดือนมีนาคม ลดลง -0.1% จากเดือนก่อน ส่งผลให้แบบรายปี ลดลงเหลือ 2.4% จากปัจจัยหลักด้านราคาพลังงาน ด้าน CPI ที่ไม่คิดราคาอาหารและพลังงาน หรือ Core CPI เดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ส่งผลให้แบบรายปี ลดลงเหลือ 2.8% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021
หากจะคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE เดือนมีนาคม จากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตล่าสุดหรือ PPI และจากข้อมูลล่าสุดของ CPI จะพบว่า Headline PCE เดือนมีนาคม ที่จะออกมาน่าจะคงที่เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อน ส่วน Core PCE เดือนมีนาคม น่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ส่งผลให้แบบรายปี ลดลงเหลือ 2.7%
คราวนี้ หันมาพิจารณา Tariff ที่จะมีผลต่อฉากทัศน์ของการคาดการณ์ แต่เดิมระดับค่าเฉลี่ย Tariff ทั่วโลกของสหรัฐ เคยอยู่ที่ 3% หลังจากทรัมป์ประกาศว่าจะใช้มาตรการ Tariff ในช่วงก่อนวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา คาดกันว่าระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ น่าจะขึ้นไปที่ 10% อย่างไรก็ดี หลังจาก Liberation day 2 เมษายน ระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ ขยับขึ้นมาเป็น 25% แม้ว่าจะชะลอ Tariff ของประเทศอื่น ยกเว้นจีนเป็นเวลา 90 วัน ทว่าระดับค่าเฉลี่ย Tariff สหรัฐ ก็ยังคงอยู่ที่ราว 25% อยู่ดี ซึ่งวาลเลอร์ให้เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นฉากทัศน์แรกในการวิเคราะห์ ส่วนฉากทัศน์ที่สอง ซึ่งถือว่ามองโลกในแง่ดีกว่า คือผลการเจรจาระหว่างสหรัฐกับจีนและประเทศอื่น ๆ ออกมาดีกว่าคาดมาก จนระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ ลงมาที่ 10%
ทั้งนี้ ฉากทัศน์แรก หรือ กรณี Large Tariff อยู่บนสมมติฐานที่ว่า ระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ ที่ขยับขึ้นมาเป็น 25% จะยังคงมีผลต่อประเทศอื่นๆ ไ ปจนถึงอย่างน้อยสิ้นปี 2027 ซึ่งทรัมป์จำเป็นต้องยืนเช่นนี้ เพื่อให้วัตถุประสงค์การผลิตสินค้าที่ชาวสหรัฐบริโภคกลับมาเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินสหรัฐ ส่วน ฉากทัศน์สอง หรือ กรณี Small Tariff คาดว่ามาตรการ Tariff ของทรัมป์ท้ายสุดแล้ว จะเหลือแค่ 10% กับทุกประเทศเท่านั้น
โดยวาลเลอร์เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจากทั้ง 2 กรณี จะเป็นแบบชั่วคราว หรือ การเพิ่มขึ้นราคาเพียงครั้งเดียว ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะขึ้นไปสูงสุดที่ 4-5% แล้วแต่การส่งผ่านต่อไปถึงราคาว่าจะมากแค่ไหน โดยตัวช่วยที่ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐขึ้นไปไม่สูงมาก คือนโยบายการเงินสหรัฐที่ถือว่ายังตึงตัวอยู่ และเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงจากมาตรการ Tariff ช่วยลดอุปสงค์และระดับราคาในที่สุด
ด้านการเติบโตของผลผลิต กรณี Large Tariff คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างมากในปีนี้และปีหน้า ส่งผลต่อไปยังการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคธุรกิจ ซึ่งจะไปลดระดับผลิตภาพ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Neutral Rate สหรัฐลดลง นี่ยังไม่นับการส่งออกสหรัฐจากการขึ้น Tariff ตอบโต้จากต่างชาติ ซึ่งคาดว่าอัตราการว่างงานสหรัฐ จะเพิ่มจาก 4.2% เป็น 5%
โดยสรุปคือ กรณี Large Tariff อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นแต่ไม่เกิน 5% และจะลงมาในปีหน้าจาก Inflation Expectations ที่ยังยึดเหนี่ยวได้ดี ทว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะลดลงมากกว่า วาลเลอร์มองว่าเฟดควรลดดอกเบี้ย หรือ bad cut ก่อนกลางปีนี้
ในกรณี Small Tariff ที่คาดว่ามาตรการ Tariff จะเป็นแบบค่อนข้างเบา น่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐขึ้นสูงสุดที่ 3% และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะชะลอลงเพียงเล็กน้อยจากตรงนี้ ซึ่งนั่นทำให้เฟดสามารถอดทนรอการลดดอกเบี้ยได้ โดยคาดว่าเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยครึ่งหลังของปีนี้
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com