ช่วงนี้ การเมืองร้อนระอุ อย่าให้ใจเราร้อนตามนะครับ

ผมได้คุยกับนักลงทุนหลายคนในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่า แต่ละคนเป็นห่วงบ้านเมืองของเราทุกคน ว่าจะเดินต่อไปในทางใด และเกือบทุกคน ก็บอกว่า หลังจากนี้ไปบ้านเมืองเราคงไม่เหมือนเก่า เพราะใกล้จะถึงจุดแตกหักมากแล้ว
ถ้านึกตามที่เขาพูดๆ ที่เขากลัวๆ มันก็น่ากลัวจะถึงจุดแตกหักจริงๆนะครับ

สำหรับตลาดหุ้นก็เช่นกัน ตลาดหุ้น เป็นตลาดที่อ่อนไหวกับความโลภและความกลัวของมนุษย์แต่ไหนแต่ไรมา แต่ถ้าลองนับตั้งแต่วันที่ตลาดหุ้นถือกำเนิดมา จะผ่านมากี่วิกฤต ทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ตลาดหุ้นก็เอาตัวรอดมาได้ตลอด เรียกว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย
ความเหมือนของการเมือง และตลาดหุ้นอย่างแรกก็คือ “พัฒนาการของผู้ที่อยู่รอด”

ในความหมายของผมก็คือ ทุกๆวิกฤต เราจะเห็นผู้แพ้เดินออกจากเกมส์ และผู้แพ้ที่ยังอยู่ในเกมส์ ผมมองว่า เกมส์การเมือง และเกมส์การลงทุน เป็นเกมส์ที่ต้องมองยาวๆ ผลของการกระทำ ไม่สามารถใช้ตรรกะแบบ 1+1 = 2 ได้ง่ายๆตรง มันต้องมีชิงไหวชิงพริบ มีหักเหลี่ยมโหด และลับลวงพราง เป็นเรื่องปกติของโลกที่เราอยู่นี่

ดังนั้น ผู้แพ้ที่ยังไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ และสู้อย่างมีพัฒนาการที่ถูกต้อง จะกลับมาอยู่ในเกมส์ ซึ่งทำให้เข้มข้นขึ้นทุกครั้ง สนุกขึ้นทุกครั้ง

ย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน แทบนับหัวได้เลยว่าใครเป็นเศรษฐี หรือได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากตลาดหุ้น แต่มาวันนี้ ตลาดหุ้น กลายเป็นตลาดแห่งโอกาส สำหรับผู้ที่พร้อมรบ ถามว่า เพราะอะไร ส่วนหนึ่งก็ใช่ครับ จังหวะมันอำนวย ตลาดขาขึ้นมา 2-3 ปีติดต่อกัน แต่อีกส่วนหนึ่งต้องยอมรับ นักลงทุนรายย่อยพัฒนาตัวเอง และก้าวข้ามขีดจำกัดของคำว่า แมงเม่า ไปได้มากมาย ถึงว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ

กลับมามองที่การเมือง หากนับอายุคำว่า “ประชาธิปไตย” ก็ต้องบอกเลยว่า เรายังอยู่ในช่วงหัดเดิน ดูอย่างอเมริกาสิครับ เกิดสงครามกลางเมือง เกิดกระแสต่อต้าน ผ่านร้อนผ่านหนาว มาตั้งมากมาย กว่าเขาจะมีวันนี้ ซึ่งสุดท้าย ความขัดแย้งที่เราเห็นในสภา มันก็หน้าตาคล้ายๆกับเรา ตรงที่ “ตกลงผลประโยชน์กันไม่ลงตัว”

เพราะฉะนั้น ถ้ามองอย่างเป็นความจริง คุณจะเห็นว่า ความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย (ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด แม้กระทั่ง ความชั่ว สู้กับความดี) เหมือนๆกับตลาดหุ้น ที่ต้องประกอบไปด้วย ขาขึ้น และ ขาลง และมันก็มีการพัฒนาของมันเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่ง
ผมยังเชื่อลึกๆนะว่า ความแตกแยกวันนี้ จะนำไปสู่พัฒนาการที่ดีขึ้น ถ้าเราเรียนรู้จากอดีต ไม่ใช่ยึดติดกับอดีต

ตอนตลาดหุ้นขาลง ตลาดดูเงียบเหงา ทุกอย่างดูไม่น่าสนใจ เราก็ใช้เวลาเรียนรู้ว่า ที่ผ่านมา เราทำพลาดอะไร ใช้ช่วงเวลานี้ในการพัฒนาตัวเองเพื่อรอขาขึ้นรอบใหม่ ไม่ใช่นั่งรอเฉยๆ แล้วเฝ้าภาวนาว่า ซักวันมันต้องกลับมายืนที่เดิม

ตอนการเมืองร้อนระอุ ในฐานะปัจเจกบุคคล ผมว่า มันก็เป็นช่วงที่ ทุกๆฝ่าย ต้องหันกลับมามองว่า ที่ผ่านมา เราทำอะไรผิด ปรับปรุงตัวเอง ปรับความคิดให้ถูกต้อง โลกในยุคนี้ ไม่มีสีขาว 100% และ ดำ 100% ทุกอย่างมันเป็นสีเทาๆ ในความขั่วร้าย มีความดี ในความดี มีความชั่ว ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนๆกับตลาดหุ้น ที่ในตลาดขาขึ้น ก็มีคลื่นย่อยของการปรับฐาน ในตลาดขาลง ก็มีจังหวะเด้งให้คายของออกจากพอร์ต

นักลงทุน และปุถุชน ตัวเล็กๆ อย่างเรา ถ้าเอาแต่สาดโคลนใส่กันบน News Feed Facebook เป็นนักเลงคีย์บอร์ด ดูจะไม่ได้อะไร นอกจากเติมไฟแห่งความเกลียดชัง ซึ่งนับวัน ยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกที

ความคิดเห็นที่แตกต่าง เป็นเรื่องที่เขาใจกันได้ครับ แต่การนั่งด่าอีกฝ่ายที่เห็นไม่เหมือนเรา (ถึงเราเชื่อว่ามันเลวสุดๆ) นอกจากจะไม่ช่วยให้เขาสำนึกแล้ว ยังกลายเป็นไฟในใจที่ร้อนจนคนรอบข้างรู้สึกได้

นักลงทุนที่เป็นนักลงทุนจริงๆ เขาโฟกัสกับการวิเคราะห์และการมีวินัยของตัวเอง ผมไม่เคยเห็นนักลงทุนเก่งๆคนไหน มานั่งไล่ด่าวิธีการลงทุนของคนอื่นที่ไม่เหมือนกับตัวเองซักคน เพราะเขามองว่า เอาเวลาตรงนั้น ไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ จะดีกว่า
สุดท้าย จะมองภาพใหญ่ในเกมส์การลงทุน และเกมส์การเมืองให้ออก ผมมองว่า ต้องมองให้คล้ายกัน ก็คือ มองกลับเข้าไปที่ใจตัวเอง ขจัดความรู้สึกรัก รู้สึกเกลียด และมองด้วยใจเป็นกลางว่านี่คือธรรมดาของโลก ยึดถือที่หลักการ ไม่ใช่ที่ตัวบุคคล เพราะคนนั้น ไม่มีใครขาว 100% พอเขาทำพลาดอะไรขึ้นมา เรารักเขาไปแล้ว ก็ยอมให้อภัย และยอมเสียหลักการบางอย่างในตัวเองไป จนวันหนึ่ง หันกลับมา เราอาจพบว่า ตัวเองต่างไปจากเดิมนานแล้วก็ได้

แต่หลักการที่ถูกต้อง 100% นั้น เรารู้ได้และเริ่มได้ด้วยตัวเรา สังคมที่ดี ส่วนสำคัญ ต้องเกิดจากผู้นำที่ดี อันนี้ไม่เถียง แต่อีกส่วนก็คือ สมาชิกของสังคม ต้องเป็นคนดีไม่ต้องรอให้ใครมานำ
ขอจบด้วยแง่คิดให้ทุกคนได้ลองคิดกันดูนะครับ

A : ทำไมทุกวันนี้ คนดีมัน “หา” ยากจัง?
B : เพราะมีแต่คน “หา” ไง ไม่มีใครคิดจะ “เป็น”

อยากได้คนดี เริ่มที่ตัวเองนะครับ