เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า Ant Group ได้รับการอนุมัติจาก China Securities Regulatory Commission (CSRC) สำหรับการยื่นขอไฟลิ่ง IPO ในตลาดฮ่องกง ซึ่งทำให้ Ant Group จ่อเป็นการเสนอขายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ที่มูลค่าประมาณ 34.4 พันล้านดอลล่าร์ โดยจะจดทะเบียนใน 2 ตลาด ทั้งตลาดหุ้นฮ่องกง และ จีนแผ่นดินใหญ่เอง

โดย IPO รอบนี้ จะเป็นการแซงการ IPO มูลค่า 29.4 พันล้านดอลลาร์ของหุ้น Saudi Aramco ที่เพิ่งทำการระดมทุนไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วนี้เอง

Ant Group ทำอะไร?

จุดเริ่มต้นของ Ant Group มาจาก เมื่อปี 2014 ผู้บริหารของ Alibaba ตัดสินใจแยก Business Unit ด้านการชำระค่าสินค้าออนไลน์ (Alipay) ออกจากธุรกิจหลัก แล้วตั้งเป็นบริษัทให้ชื่อว่า Ant Financial Services Group แล้วค่อยเปลี่ยนชื่อให้สั้นลงอย่างที่เราเรียกในปัจจุบันว่า Ant Group

ทั้งนี้นอกจาก Alipay แล้ว ธุรกิจในเครือ Ant ก็ยังมี Yu’e Bao ที่เป็นบริการซื้อกองทุนรวมผ่าน Alipay, Huabei บริการสินเชื่อรายย่อย และ MYbank ธนาคารออนไลน์

ถามว่า ถ้า Ant Group สามารถ IPO สำเร็จตามเป้าหมาย ขนาดจะใหญ่แค่ไหน?

คร่าวๆ หากมี Demand ล้นตามที่ผู้บริหารให้ข่าวจริง หลัง IPO สำเร็จ Ant Group จะมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ 320,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ราวๆ 9.9 ล้านล้านบาททีเดียว และกลายเป็นสถาบันการเงินที่มีมูลค่ากิจการใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้าทั้ง JPMorgan และ ICBC ทันที และมีขนาดใหญ่มากกว่า 4 เท่าของ Goldman Sachs!!

จากที่ Ant Group รายงาน ตามกำหนดการ บริษัทฯ คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในทั้งตลาดเซี่ยงไฮ้และฮ่องกงในสัปดาห์หน้านี้แล้ว ซึ่งถือเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นในฐานะศูนย์กลางการจัดหาเงินทุนของฮ่องกง ที่ถูกสั่นคลอนมาตลอดจากความไม่สงบและการชุมนุมทางการเมืองในประเทศ

การเดินหมากที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

ย้อนกลับไป นับตั้งแต่ตเนปี 2018 เป็นต้นมา ทำเนียบขาว นำโดยปธน.โดนัล ทรัมป์ ได้ทำการเปลี่ยนการดำเนินนโยบายทางการค้าต่างประเทศ ด้วยการตั้งกำแพงภาษีกับประเทศจีนมาเรื่อยๆ กีดกันเทคโนโลยีที่พัฒนาจากบริษัทสัญชาติจีน รวมถึง มีการขู่ว่าจะจำกัดการเข้าถึงตลาดทุนของบริษัทในจีน ในการเข้าระดมทุน หรือจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

การดำเนินนโยบายต่างๆของสหรัฐฯ ทำไปก็เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศของตัวเอง ที่กำลังสูญเสีย Competitiveness เพราะสิทธิบัตรและเทคโนโลยีในยุคต่อไปอย่าง 5G ไปอยู่ในมือของบริษัท Huawei เป็นส่วนใหญ่ รวมถึง การที่ GDP ของสหรัฐฯ เองมีสิทธิโดนจีนแซงภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า เกมส์สกัดขา และทำทุกวิถีทางไม่ให้อำนาจใหม่เงยหน้าอ้าปากจึงเริ่มต้นขึ้น

แต่ก็อย่างที่เห็นครับ การรับมือในเชิงนโยบายของประเทศจีนนั้น ทำด้วยความยืดหยุ่น นิ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยนัยยะ เพราะไม่ใช่แค่ IPO ของ Ant Group เพียงเท่านั้น เหล่าบริษัทเทคโนโลยีของจีนอย่าง NetEase และ JD.Com ก่อนหน้านี้ ก็ปรับแผนกลับมาระดมทุนหลายพันล้านจากการ IPO ผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง

คำพูดของแจ็ค หม่าที่ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ IPO ครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกิดขึ้นนอกเมืองนิวยอร์ก และ เราคงไม่กล้าคิดเรื่องนี้เมื่อห้าปีหรือสามปีที่แล้ว” ซึ่งเขาได้กล่าวในงาน Bund Summit ที่จีนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ตีความได้ว่า โลกเราได้เปลี่ยนไปแล้ว

Ant Group น่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือ?

ต้องบอกว่า จังหวะเวลาที่ Ant Group เลือกที่จะ IPO ในครั้งนี้ น่าจะผ่านการคิดและไตร่ตรองมาอย่างดี ไม่แพ้ยุทธศาสตร์ด้านทำเล เพราะ เป็นจังหวะที่นักลงทุนในตลาดทั้งโลกหันหน้าหนีให้กับหุ้นสถาบันการเงินแบบเดิมๆ ซึ่งจะเห็นได้จาก ดัชนีหุ้นกลุ่ม Financials Select Sector ที่สหรัฐฯ ที่ยังต่ำกว่าระดับตอนต้นปีถึง -17%

หรือ ถ้าดูหุ้นธนาคารในไทย จาก Infographic ของลงทุนแมน ก็จะเห็นว่า ปรับตัวลงมาเฉลี่ยมากกว่า -30-40% ทีเดียวในรอบ 1 ปี สะท้อนว่า ธนาคารกำลังเจอวิกฤตครั้งใหญ่ และนักลงทุนก็มองไม่เห็นอนาคตของธุรกิจนี้จากผู้เล่นรายเดิม

การ IPO รอบนี้ของ Ant Group ต้องบอกว่าร้อนแรงมากๆ เพราะ เหล่าผู้จัดการการเงินรายใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น T. Rowe Price Group Inc. , UBS Asset Management และ FMR LLC ต่างก็ให้ความสนใจในการขอเสนอซื้อ IPO รวมไปถึงกองทุนแห่งชาติ หรือ sovereign wealth fund ของสิงคโปร์ อย่าง Temasek และกองทุนประกันสังคมแห่งชาติของประเทศจีนเอง ก็ให้ความสนใจลงทุนใน Ant Group เช่นเดียวกัน

และแน่นอนว่าบริษัทแม่อย่าง Alibaba เองก็ตั้งใจที่จะซื้อหุ้น Ant Group ใหม่ด้วยเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ประมาณ 32%

จะหา FinTech ตัวอื่นนอกประเทศจีน ที่มีขนาดใหญ่ได้เท่ากับ Ant Group ณ ตอนนี้ ต้องถือว่ายากมากจริงๆ และความสำเร็จในการ IPO ครั้งประวัติศาสตร์ ก็จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศจีนและเกาะฮ่องกงในสายตาของนักลงทุนที่ยังกังวลอยู่ว่า เกมส์สงครามการค้าจะดำเนินต่อไป แล้วจีนจะไปสู้อะไรกับสหรัฐฯได้? ให้กลายเป็น โอกาส สำหรับนักลงทุนที่พร้อมจะยืนอยู่ข้างจีนในอนาคต

เดินหมากเดียว อาจทำให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่นอกตลาดที่จ่อจะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ หันมาหาจีน ซึ่งมีทั้งเงินถุงเงินถัง และยังผ่อนปรนกฏ และเกมสม์ยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับนโยบายของสหรัฐฯแบบนี้ไปเรื่อยๆ

แถมพี่จีนยัง…

  1. สามารถจัดการวิกฤตโควิด-19 ได้ดี จนมีลักษณะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ V-Shape และไม่เจอตัวเลขติดลบเหมือนที่อื่นในโลกในปีนี้
  2. แถมมาตราการหรือนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ก็ยังคงมี Room ในการกระตุ้นอีกมาก ใช้กระสุนไปไม่เยอะเท่าฝั่งสหรัฐฯ หรือ ยุโรป
  3. มีเเผนปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเข้าสู่ New Economy ชัดเจน และ วางยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาการส่งออกให้น้อยลงมาตั้งแต่ปธน.ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง และเน้นการเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศ

บอกแล้ว Ant Group จะไม่ใช่แค่ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่อาจจะเปลี่ยนแกนโลกการเงินทั้งใบหลังจากนี้เลยก็เป็นไปได้นะครับ

แหล่งข้อมูล : https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-10-26/jack-ma-s-ant-raises-about-34-5-billion-from-asian-ipos
https://www.bloombergquint.com/markets/ant-group-has-set-pricing-for-world-s-largest-ipo-jack-ma-says
https://www.cnbc.com/2020/06/11/netease-hong-kong-listing-shares-rise-at-open-on-first-day-of-trading.html
https://www.spglobal.com/spdji/en/indices/equity/financial-select-sector-index/#overview
https://www.longtunman.com/25795

Mr.Messenger รายงาน