broken-portfolio-mindset-01

ช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่ทดสอบจิตใจของนักลงทุนทุกคนอย่างแท้จริง ถ้ามองในแง่ดี มันก็ทำให้เราได้กลับมาย้อนดูความผิดพลาดของตัวเราเอง และพัฒนาตัวเรา พัฒนาระบบการลงทุนของเราให้ดีขึ้น … คนเราจะเก่งขึ้น ก็ด้วยการผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมาได้นะครับ ผมเชื่ออย่างนั้น

ช่วงนี้ผมเจอนักลงทุน และลูกค้าหลายคนที่ประสบปัญหาพอร์ตติดลบ ตัวเลขขาดทุนสีแดงเข้มๆในพอร์ต มันทำให้เครียด อันนี้ผมก็เข้าใจครับ

เอาเป็นว่า … เราจะผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปด้วยกัน แต่!! เราจะผ่านมันไปได้ และแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม ก็ต่อเมื่อ เรารู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน ผมเลยลองรวบรวมความผิดพลาดของลูกค้า และเพื่อนๆ น้องๆ นักลงทุนที่ผมเจอ มาสรุปให้อ่านกันครับ

1. คิดว่า รู้น้อย ดีกว่า ไม่รู้อะไรเลย

จริงๆแล้ว การรู้น้อย กลับมาความเสี่ยงมากกว่าการไม่รู้อะไรเลย เพราะ ถ้าเรารู้ว่าเราไม่รู้อะไรเลย เราจะพยายามหาทางลงทุนด้วยกลยุทธ์อื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น ใช้กองทุนรวมในการลงทุน หรือ กระจายความเสี่ยงการลงทุนในหลายๆสินทรัพย์ แต่การที่เรารู้เพียงเล็กน้อย และหนำซ้ำ ยังมั่นใจในการลงทุนของตัวเอง (ทั้งๆที่รู้นิดเดียว) มันสามารถทำให้พอร์ตการลงทุนของเราพังเละเทะ เพราะ อาจเสี่ยงเกินความจำเป็น และไม่ยอมศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่ควรรู้ โดยหลงเข้าใจไปว่า รู้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

2. คิดว่า สุดท้าย เดี๋ยวมันก็ขึ้น

การคิดแบบนี้โดยเหมารวมทุกสิ่งที่ตัวคุณเองลงทุนอยู่ เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์เช่นกัน สมมตินะครับ ว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาจริงๆ บริษัทที่อยู่รอดหลังวิกฤต มักจะต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนแปลง หรือมีฐานะการเงินที่มั่นคง ดังนั้น ทุกๆวัฎจักรเศรษฐกิจ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มันจะมีบริษัทที่ “รอด” และ “ล้ม” อยู่เรื่อยๆ และถึงรอด ก็ต้องมาดูว่า จะกลับมาได้เหมือนเดิมหรือเปล่า ดังนั้น ถ้าเอาแต่คิดแค่ว่า เดี๋ยวสุดท้าย มันก็ขึ้น … ก็ถือว่าประมาทไปซักหน่อยนะ เตือนไว้เลย

3. คิดว่า สุดท้าย เราก็เสียเปรียบพวกโบรกเกอร์และขาใหญ่

คุณจะเริ่มเชื่อความคิดแบบนี้ เมื่อตลาดมันวิ่งไปผิดทางกับ Position ที่คุณถืออยู่ซักระยะ ยกตัวอย่างเลย เช่น เราเชื่อว่าหุ้นมันจะลง … แต่เอ๊ะ!! ทำไมตลาดมันขึ้นเอาๆ พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ นักลงทุนบางคนก็เหมาเอาว่า เพราะมีมือที่มองไม่เห็นมาพยายามทำให้กลไกตลาดมันผิดเพี้ยน… แต่ประเด็นคือ มันอาจจะมีมือนั้นจริงๆ หรืออาจไม่มีอยู่ก็ได้ครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่วิธีการคิดแบบนี้ ไม่ได้เอื้อให้เราพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่ทำให้เรามีทัศนคติเชิงลบต่อการลงทุน สิ่งที่ควรคิดมากกว่าก็คือ เราจะมีวิธีทำอย่างไรให้รู้ตัวได้เร็วขึ้น ว่าเราอยู่ตรงกันข้ามกับ Mr.Market และทุกครั้งที่เราอยู่ตรงข้าม เรามีเหตุผลที่เพียงพอแล้วหรือยัง เราเชื่อมั่นขนาดไหน และจุดไหนที่เราควรมอบตัว หรือยอมรับว่าตัวเองผิด สิ่งเหล่านี้ สำคัญมากกว่าการจะไปหาว่า ขาใหญ่ทำราคาหรือเปล่า ใครกำลังบิดเบือนกลไก เสียเวลาครับ อย่าไปหาเลย

4. คิดว่า หุ้น มันก็คือ การพนัน ครั้งนี้เสีย ครั้งหน้าก็ต้องได้

นี่คือคิดแบบ นักพนันจริงๆ แท้จริงแล้ว ตลาดหุ้นมันมีกลไกและปัจจัยที่สร้างขึ้นเป็นเงื่อนไขทำให้ราคาเคลื่อนไหวมากมายร้อยแปด ดังนั้น มันจึงไม่แปลกที่บางครั้งเรารู้สึกว่า เราหาทิศทาง และความสัมพันธ์ของราคาหุ้นไม่เจอเลยในระยะสั้น เรื่องจริงคือ “หุ้น ระยะสั้นวิ่งตามข่าว ระยะยาววิ่งตามกำไร” ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะเป็นนักลงทุนระยะยาว กลับหาอ่าน และไปกังวลกับปัจจัยระยะสั้น มันก็ต้องคิดละครับว่า ทำไมราคาหุ้น หรือดัชนี ในบางช่วงมันถึงเหวี่ยงได้ไร้สาระขนาดนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่บริษัทที่มีผลประกอบการดีๆ กำไรโตทุกปี ราคามันถึงเหวี่ยงขึ้นลงได้มากมายก่ายกอง พอเห็นแบบนี้บ่อยๆ ก็คิดไปว่า ตลาดหุ้นไม่มีเหตุผล มันก็แค่บ่อนการพนันของคนรวย… มันจะเป็นบ่อน หรือ เป็นเครื่องจักรผลิตเงิน มันอยู่ที่วิธีที่เราปฎิบัติต่อตลาดหุ้นครับ มันไม่ได้อยู่ที่ว่า ตลาดหุ้นมีลักษณะเป็นแบบไหน ไม่งั้น คงไม่มีนักลงทุนคนไหนได้กำไรจากตลาดหุ้นเป็นกอบเป็นกำอย่างที่เราเห็นนะ

สุดท้ายนะครับ การขาดทุนหุ้นในพอร์ตหลายๆตัว มันสร้างบางแผลในพอร์ตได้ แต่การย้ำคิดในแง่ลบกับตลาด จะสร้างบาดแผลทางใจ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะยาว ช่วงนี้เป็นช่วงดีที่เราจะได้กลับมาย้อนดูสิ่งที่ผิดพลาด และค่อยๆปรับปรุงวิธีการลงทุนของเราให้ดีขึ้น ผมเชื่อว่า ทุกคนประสบความสำเร็จได้ครับ เราจะผ่านวันนี้ไปด้วยกัน 🙂