ผมเกริ่นไว้ใน Line Official Account สั้นๆว่า ตลาดปรับฐานรอบนี้ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า ควรหาจังหวะทยอยลงทุนตรงไหน ในขณะที่ในอดีตผมค่อนข้างมั่นใจและบอกให้ทยอยซื้อกันไปเถิด ตลาดยังไม่เกิด Major Correction หรอก

เขียนไปแบบนี้ บางท่านก็อาจจะพาลคิดไปว่า หรือผมมองว่า งานเลี้ยงกำลังจะเลิก?

เอาเป็นว่า ยังไม่ตอบตรงๆ แต่ขออนุญาตพาไปดูเหตุผลส่วนตัวของผมเ 2 ข้อหลักๆแล้วกันครับ

1. ข้อนี้ ผมคิดมาตลอดตั้งแต่หลังปี 2011 แล้วว่า มันจะเป็นแรงกดดันเศรษฐกิจโลกไปอีกนาน ก็คือ การที่เราเจอการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ของโลก 3 อย่าง

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ที่คนส่วนใหญ่ของโลกในยุค Baby Boomer กำลังออกจากตลาดแรงงาน ในขณะที่ GEN X นั้นมีจำนวนประชากรน้อยกว่า แต่ต้องแบกภาระสวัสดิการ และจ่ายภาษีหนักเพื่อผู้เกษียณเหล่านี้ ซึ่งทางออก ก็คือ หาตลาดแรงงานมา Support และสร้างรายได้ให้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นรัฐประชาธิปไตยส่วนใหญ่ เลือกเอาใจประชาชน ฟังเสียงข้างมากด้วยการตั้งรัฐสวัสดิการและแบกหนี้มหาศาลจนเป็นที่มาของ Euro Crisis ซึ่งผ่านไปหลายปี ปัญหานี้ก็ยังคงรอวันปะทุอีกในหลายๆประเทศ

การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี อันนี้ก็สำคัญ เพราะพอคนตกงานหลังวิกฤต กลายเป็นกลับเข้าตลาดแรงงานไม่ได้เพราะนายจ้างเลือกใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานคน ประหยัดต้นทุนการผลิต และมีประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้นอกจากรัฐต้องแบกค่าใช้จ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุแล้ว ยังต้องแบกสวัสดิการว่างงานในประเทศใหญ่ๆ และกำลังซื้อที่เคยมีเยอะๆก่อนวิกฤต มันก็เลยหดไป และไม่ฟื้นกลับมาที่เดิมค่อนข้างแน่นอน

ไม่เคยมียุคไหนที่ปริมาณเงินในโลกมีมากขนาดนี้ แต่คนบนโลกกลับรู้สึกจนมากขนาดนี้ เพราะใครๆก็คิดทำ QE ซึ่งผู้ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว เป็นเพียงแค่คนกลุ่มน้อยบนโลกเท่านั้น และทำให้งบดุลของธนาคารกลางมีหนี้สูงมากเป็นประวัติการณ์ ไม่รู้จะลดได้ยังไง ยังนึกไม่ออกเลยครับ

2. ความผิดเพี้ยนของตลาดพันธบัตร กำลังเริ่มกลับทิศทางให้เห็น

ขยายความก็คือ หากย้อนกลับไปซัก 3 ปีก่อน แล้วมีคนมาบอกกับเราว่า German Bund (พันธบัตรรัฐบาลของเยอรมัน) มีโอกาสให้ผลตอบแทนติดลบ … เราคงจะบอกว่า ไอ้คนนั้นมันบ้าไปแล้ว แต่สิ่งนั้นกลับเกิดขึ้นจริง และตลาดสามารถทนเห็นและเทรดที่ระดับติดลบแบบนั้นได้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งสาเหตุที่พอบอกได้ก็คือ ECB อัด QE เข้าระบบ กด Bond Yield ให้ต่ำ (ตามอ่านบทความเรื่อง QE ของ ECB ได้ที่นี่ครับ) แต่ต่ำจนกระทั่งติดลบเนี่ย คิดได้ไง? ลองนั่งเทียนคิดดูตามมานะ Fund Flow ที่ไหลเข้าซื้อพันธบัตรเยอรมัน ไม่น่าจะเป็น Local Money หรือเงินในประเทศเขาแน่นอน เพราะนึกไม่ออก คนเยอรมันจะอยากลงทุนในพันธบัตรแล้วขาดทุนไปเพื่ออะไร แต่เงินที่มาซื้อ ถ้าเป็น Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ ที่ไม่ได้หวังเรื่อง Yield แต่หวังกำไรจาก FX แทน ก็เห็นๆอยู่ว่า มี QE แล้วจะหวังให้ ยูโรแข็งทันทีมันใช่เรื่องเรอะ และถ้าเศรษฐกิจฟื้นได้จริง Bond Yield ก็ต้องเด้งอีก ถึงเก็งเรื่อง FX ถูก ก็ขาดทุนจากการ Mark to Market ราคาพันธบัตรอยู่ดี … ยิ่งคิด ยิ่งหาชุดของตรรกะมาอธิบายให้สมเหตุสมผลไม่ได้เลย

ประเด็นที่มันเริ่มน่ากลัว ก็ตรงนี้ครับ QE ของยูโรโซน ทำให้เกิดการทำ Euro Carry Trade กู้เงินยูโร ไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ผมเชื่อว่า น่าจะมีกลุ่มนักลงทุนบางกลุ่มที่กู้ระยะสั้น แล้วเอามาลงทุนในพันธบัตรระยะยาว เพราะคิดว่าความเสี่ยงไม่มี ยังไง QE ก็หนุนหลัง แต่ปรากฏว่า ปลายเดือน เม.ย. Bond Yield ของเยอรมันกลับดีดขึ้นมารุนแรงทีเดียว ตามกราฟด้านล่าง

Bund

 

เช่นเดียวกับ US Treasury ที่ Yield เด้งพร้อมๆกับ German Bund

US

จริงๆ สาเหตุของการเด้งขึ้น ก็เพราะ ตลาดกลับมาเก็งกันว่า FOMC อาจพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง (เก็งแล้วเก็งอีก บางทีผมก็เบื่อนะ) คราวนี้ ลองนึกภาพตามผมนะครับ

สหรัฐฯ เป็นประเทศแกนหลักประเทศเดียวที่บอกได้ว่าเศรษฐกิจตัวเองฟื้น Fund Flow เลยไหลเข้า USD แบบไม่หยุดหย่อน ดันทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรระยะสั้นระยะยาว ให้กำไรกันหมด รวมถึงเงิน Euro และ Yen Carry Trade ก็ไหลมาร่วมด้วยด้วย

พอป้าเยเลน ออกมาบอกครั้งแรกว่า USD ที่แข็งเกินไป ไม่ดีกับเศรษฐกิจ … Flow ก็เริ่มงงๆแล้วว่าจะเอายังไง พอป้าออกมาบอกอีกว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯตอนนี้ Valuation High (แพงไปหน่อย) เท่านั้นละ นักลงทุนที่คิดว่า USD จะอ่อนแล้ว ตลาดหุ้นน่าจะลงแล้ว ก็เกิด Panic Sell หนีด้วยการ ปิดสถานะ Long และขายทำกำไร ทำ Unwind US Dollar Position กันหมด

แค่นี้ ยังไม่ทำให้ผมกังวลหรอกครับ แต่ที่ห่วงลึกๆก็คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันเทรดที่ PE ราวๆ 20x ให้ Dividend Yield เฉลี่ยอยู่ที่ 2.04% ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบเชิงรับ (Defensive Style) มองที่เงินปันผลเป็นหลัก เหลือบไปเห็นว่า Bond Yield กำลังจะขึ้น และ US Treasury 10 ปี ปัจจุบัน ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินปันผลจากหุ้น … คุณจะยังลงทุนในหุ้นไหม เพราะ ป้าเยลเลนเพิ่งบอกไปสดๆร้อนๆว่าหุ้นแพง คือมันถึงทางที่นักลงทุนเกิดอาการมึนจริงๆสิครับ หาที่ให้เงินลงทุนไม่ได้แบบนี้

Market-Cap-Weight-v.-Div-Stream-Weight-by-Sector

 

เรื่องของเรื่องคือ จะเห็นว่า ตลาดทุนอยู่ในจุดเสี่ยงมากๆนะ ยุโรปก็เสี่ยงทำ QE และอาจไม่ฟื้น อเมริกาก็เสี่ยงจะขึ้นดอกเบี้ย แต่ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะทน Cost of Fund ที่สูงขึ้นได้ไหม และเหล่านักเก็งกำไรในตลาดสหรัฐฯ จะเทขายหนีตายกันหนักแค่ไหน เอเชียก็เสี่ยง ตอนค่าเงินตัวเองอ่อนค่า ของยังแทบออกไปขายในตลาดโลกไม่ออก (สังเกตจากยอดส่งออกไทย) แล้วถ้า USD มาแข่งกันอ่อนค่ากับ Asian Currency ละ ภาพมันจะเป็นยังไงหว่า ….

บอกเหตุผลที่ผมกังวลไปแล้วนะครับ ซึ่งสรุปก็คือ ผมมองทางออกของ Fund Flow ตอนนี้ไม่ออกจริงๆว่าจะไปทางไหน ถ้าตลาดยังไม่มีพัฒนาการอะไรใหม่ๆมาให้เห็นว่า มันคือทางรอดระยะยาว

ดังนั้น กลยุทธ์หลังจากนี้ที่ผมจะทำกับตัวเอง ก็คือ ลดพอร์ตระยะยาว และ หดรอบการลงทุน รวมถึงผลตอบแทนคาดหวังให้สั้นลงไปอีก

ที่ใครๆเคยบอกว่า ลงทุนยาวๆ 3-5 ปี ให้ผลตอบแทนดี ผมว่า ณ สถานการณ์ปัจจุบัน มันไม่เหมือนเดิมแล้วครับ ระมัดระวังกันหน่อยก็ดี

ปล. ใครสาย Bottom Up ก็ข้ามมุมมองผมไปครับ หุ้นตก คุณก็ควรดีใจได้เก็บของดีในราคาที่ถูกลง 🙂