top-space-commodity-boom

บทความ Top-down SPACE ตอน Inflation เมื่อมันมา มันจะมาเร็วกว่าที่ทุกคนคิด ที่ผมเขียนไว้ในวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยบอกว่าสัญญาณของการกลับมาของเงินเฟ้อเริ่มมีมาตั้งแต่ต้นปี โดยหลักๆมาจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯกลับทิศนโยบายดอกเบี้ย และ สัญญาณเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่เริ่มขยับขึ้นจากฐานต่ำ ที่ต้นปี 2559 ราคาน้ำมันอยู่ที่ 26 ดอลลาร์ มา ณ ตอนนี้ ราคาน้ำมัน Crude Oil เทรดอยู่เหนือระดับ 50 ดอลลาร์อีกครั้ง ที่จะไม่เหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ในบทความนั้นก็คือ นโยบายการคลังในยุคประธานาธิบดีที่ชื่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดการณ์เอาไว้ว่า จะมีการอัดฉีดเงินลงทุนจากภาครัฐฯตามที่หาเสียงไว้

แต่จนถึงตอนนี้ ทั้งโลกก็ยังไม่เห็นนโยบายใดๆ ที่ผ่านสภาคองเกรสคลอดออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงซักอย่าง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และเสถียรภาพของรัฐบาลนายทรัมป์ ซึ่งถึงแม้พรรค Republican จะกุมเสียงข้างมากทั้งในสภาบนและสภาล่าง ก็ใช่ว่า การผ่านกฎหมายใดๆ จะราบรื่นอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

แถมเฟดเอง ก็ไม่ได้เล่นบทตามที่นายทรัมป์เขียนเอาไว้ในตอนหาเสียง โดยถึงแม้การประชุมกลางเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 25pbs แต่ก็ส่งสัญญาณไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย โดยบอกว่า ยังไม่ใส่ปัจจัยด้านมาตรการทางการคลังเข้าไปในประมาณการเศรษฐกิจ เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ผลคือ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลดลงทุกช่วงอายุ ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าลงมาทันที

นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปจากมุมมองเดิมที่ผมได้เชียนไว้เมื่อต้นเดือน ก.พ. นะครับ

ขอย้อนไปอีกหนึ่งบทความ Top-down SPACE ตอน เมื่อกลิ่นสงคราม มาอยู่หน้าบ้านของเกาหลีใต้? ซึ่งเขียนเมื่อตอนวันที่ 14 มี.ค. ใจความก็คือ รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้และรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เห็นพ้องที่จะเดินหน้าติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธทาด (THAAD) ซึ่งสิ่งที่ทำ ก็เพื่อข่มขู่ และใช้ไม้แข็งกับเกาหลีเหนือ ไม่ใช่ใครอื่น สิ่งนี้ ทำให้จีนไม่พอใจเกาหลีใต้ ที่เชื้อเชิญมิตรต่างทวีปมาหน้าประตูบ้านตัวเอง และทำให้เหตุการณ์การเมืองระหว่างประเทศตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้มีคำสั่งปฏิบัติการยิงขีปนาวุธโจมตีซีเรีย เพื่อตอบโต้การใช้อาวุธสารเคมีต่อประชาชน ซึ่งสหรัฐฯเองเชื่อว่า เป็นฝีมือของกองทัพรัฐบาล ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีบาชา อัล-อัสซาด

การมีคำสั่งจากประธานาธิบดีที่ชื่อ ทรัมป์ ครั้งนี้ อาจสร้างความแปลกใจให้กับคนส่วนใหญ่เหมือนกัน เพราะ ตัวนายทรัมป์เอง ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งปีที่แล้ว ก็กล่าวโจมตีรัฐบาลของนายบารัค โอบามา ว่าใช้งบกลาโหม ไปกับการต่อสู้กับสงครามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง โดยนามทรัมป์ ประกาศไว้ว่าจะเน้นด้านความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของชาติ เป็นหลัก โดยจะเพิ่มงบใช้จ่ายด้านกลาโหม ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงเป็นสำคัญ และต่อต้านการก่อการร้าย แต่ปฏิบัติการโจมตีฐานทัพซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็แสดงเป็นนัยยะที่บอกได้ว่า นายทรัมป์ อาจจะเบนเข็ม และใช้นโยบายที่มีความยืดหยุ่น เพื่อให้ตนเองอยู่รอดครบสมัยมากกว่า หลังจากที่ตัวเขาเอง มีคำสั่งให้ถอนร่าง กม. ประกันสุขภาพ ฉบับใหม่ ที่มาทดแทน Obamacare หลังขาดเสียงหนุนจากคนในพรรครีพับลิกันกันเอง

ซึ่งผลตอบรับจากเหล่าสมาชิกพรรค รวมถึงในเดโมเครตเอง ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะหลายฝ่าย มองและชื่นชมคำสั่งอันเด็ดขาดครั้งนี้ของนายทรัมป์ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาที่นายสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน บินเข้าพบปะกับนายทรัมป์ที่รัฐฟลอริดา ซึ่งเรียกได้ว่า ยิงปืนครั้งเดียว ได้นก 2 ตัว ตัวแรกคือ เสียงสนับสนุนจากรัฐบาล และตัวที่ 2 คือ ขู่จีนกลายๆ ถึงการจัดการปัญหาที่คาบสมุทรเกาหลี
แน่นอนว่า พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ตลาดก็ตอบรับข่าว ด้วยการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายปรับตัวสูงขึ้นทันที เพราะการดำเนินนโยบายทางนี้ของนายทรัมป์ ดูจะเข้าทางและได้รับการสนับสนุนอยู่พอสมควร

โดยสาเหตุที่เหล่าสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นมานั้น ก็มาจากท่าทีของนานาประเทศ ต่อคำสั่งปฎิบัติการในซีเรีย เริ่มที่ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บอกว่า การรุกรานซีเรียครั้งนี้ เป็นการรุกรานชาติอธิปไตย ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึง อาจเป็นการกระทำโดยอ้างเหตุผลที่มีการจัดฉากไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึง อิหร่าน ประธานาธิบดีโรฮานี แถลงว่า การโจมตีซีเรียของรัฐบาลสหรัฐฯ ยิ่งเป็นการสนับสนุนก่อการร้าย ทั้งๆที่เคยบอกว่า ตนเองจะต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย และเรียกร้องให้องค์กรอิสระเข้าตรวจสอบอาวุธเคมีที่ซีเรียว่ายิงมาจากฝ่ายไหนกันแน่ ตึงเครียดเพิ่มขึ้นขนาดนี้ แน่นอนว่า สินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวขึ้นรับข่าว โดยเฉพาะทางคำ และน้ำมันนะครับ

ที่มาบทความ : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/640899