My Life as a COACH - เส้นทางการรู้จักตนเอง – Alpha Pro EP.6

เริ่มบทความแรกของผมในคอลัมน์ Alpha Pro ผมอยากคุยถึงที่มาของการพาชีวิตตัวเองจากด็อกเตอร์ด้านวิศวกรรมเคมี พัฒนากระบวนการผลิตในโรงงานปิโตรเคมี มาสู่เส้นทางสายการเงิน เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนได้รู้งานธนาคาร งานที่ปรึกษา งานบริหารทีมที่ปรึกษาการเงินการลงทุน ทั้งในบริษัทหลักทรัพย์ ประกันชีวิต และธนาคาร และวันนี้มาร่วมออกเดินทางกับกลุ่ม FINNOMENA ในบทบาทผู้ปลุกปั้นมนุษย์ที่ปรึกษาการเงินพันธุ์ใหม่ ที่ผสมทักษะการโค้ชเข้ากับศาสตร์การจัดการทางการเงิน

ผมเชื่อว่ามีหลายครั้งในชีวิต ที่เราต้องตัดสินใจครั้งสำคัญๆ เพื่อพาตัวเองก้าวต่อไปข้างหน้า เช่น ตัดสินใจเลือกเรียนสาขาตามคนรอบตัวแทนที่จะเลือกตามใจตนเอง ตัดสินใจลาออกจากงานที่ชอบเพราะไม่พอใจหัวหน้า หรือแม้แต่เลือกที่จะไม่ย้ายงานเพียงเพราะไม่อยากเริ่มต้นใหม่ ผมเองก็เช่นกัน 20 ปีที่ผ่านมา มีจุดเปลี่ยนของชีวิตมนุษย์เงินเดือน 3 ครั้ง

ครั้งแรก เปลี่ยนจากใส่หมวกนิรภัยของวิศวกร มาสู่สูทผูกไทด์ในสายการเงิน ผมเชื่อมั่นในศักยภาพที่มี บวกกับต้นทุนความรู้ด้านการคำนวณชั้นสูง การเขียนโปรแกรม กระบวนการคิดที่เป็นระบบ ตรรกะทางวิศวกรรม น่าจะประยุกต์ใช้กับงานการคำนวณในธนาคารได้ นอกจากนี้ ผมเห็นตัวอย่างพี่วิศวะที่ประสบความสำเร็จในสายการเงินการลงทุนมาแล้ว มีคนทำสำเร็จแล้ว ผมก็น่าจะทำได้ ผมตัดสินใจลาออกจากสายงานวิศวกรรมเคมี สิ่งที่ทุ่มเทเล่าเรียนและทำงานมาเกือบ 12 ปี  วันนั้นบอกกับตัวเองว่า ประตูโอกาสเปิดให้แล้ว กลัวอะไร?

สายการเงินการธนาคาร ท้าทายกว่าที่คิดไว้ จากภาพหนุ่มโรงงานใส่เสื้อยีนกางเกงยีนรองเท้าเซฟตี้ มาใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนกไทด์ นั่งทำงานในกล่องสี่เหลี่ยม ชีวิตการเรียนก็เริ่มต้นอีกครั้ง ศัพท์การเงิน ระบบงาน การบริหารความเสี่ยง โปรแกรม ตรรกะทางการเงิน การทำงานเป็นทีม และได้เรียนความรู้จากการลงมือทำจริง ผมอยู่ในสายการเงินกว่า 10 ปี มีโอกาสได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ ในอุตสาหกรรม ได้ทำงานในบริษัทที่ปรึกษา ธนาคาร บริษัทประกันชีวิต และหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศ สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับตลาดเงินตลาดทุน บทเรียนชีวิตที่ได้จากการก้าวกระโดดออกมาจากกล่องใบเดิม สู่กล่องใบใหม่ เหมือนกับการที่ผมได้รับการ Upgrade Software อยู่ตลอด เพื่อแก้ไขปัญหาของเดิม แต่บางครั้งก็มีลุ้นเหมือนกันว่า จะเจออะไรบ้างในกล่องใบใหม่ หรือ Upgrade Software ผ่านหรือไม่

จุดเปลี่ยนอีกครั้ง เปลี่ยนจากสมองซีกซ้ายมาซีกขวา  กลับมาเป็นผู้ถ่ายทอด ผู้สอน

นอกจากใช้สมองซีกซ้าย ใช้เหตุผล จัดการทำงานอย่างเป็นระบบแล้ว ผมพบว่าตัวเองมีปัญหาอย่างมาก ในการที่ใช้แต่จุดแข็งทำงานเป็น จึงปรับเสริมความเข้าใจในการใช้สมองซีกขวา ลองเปลี่ยนแปลงจากภายใน เปลี่ยนจากผู้นำ เป็นผู้ช่วย ให้ความช่วยเหลือโดยไม่คาดหวัง ช่วยเสริมในสิ่งที่คนอื่นขาด ไม่ชี้นำ และสุดท้าย ยืนอยู่ข้างหลังของความสำเร็จผู้อื่น ผมเปลี่ยนตัวเองออกมาช่วยพัฒนาที่ปรึกษาการเงิน ผู้แนะนำการลงทุน ให้กับธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน มันให้ความสุขกับผมมาก สุขใจที่ได้ด้วยช่วย อิ่มใจทุกครั้งที่มีคนขอบคุณ เป็นช่วงสองปีที่เดินสายบรรยายทั่วประเทศ พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาตนเองในสายการโค้ชกลุ่ม หรือ Group Coaching

จุดเปลี่ยนครั้งล่าสุด ลาออกจากงานประจำเมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังทำงานครบ 15 ปี หยุดพัก 2 เดือน เพื่อทบทวนตัวเองในวัย 45 ปี หยุดคิด ให้เวลาตัวเอง ให้เวลาครอบครัว เริ่มสำรวจว่าที่จริงแล้ว เราต้องการอะไร ถ้าเราชัดเจนว่าเราทำบางสิ่งในชีวิตไปเพื่ออะไร เราจะมีพลัง ลุกขึ้นมาทุกเช้าเพื่อทำในสิ่งที่รัก รักในสิ่งที่ทำ ผมลองตั้ง 3 คำถามให้กับตัวเอง เราทำงานไปเพื่ออะไร? ถ้าวันนี้ เลือกได้ อยากทำอะไร? และคำถามสุดท้าย อะไรมันรั้งเราไว้ ไม่ให้ไปทำ?

คำตอบที่ได้ คืออยากทำงานพัฒนาคนจากภายใน งานสร้างคนให้มีอาชีพ และสุดท้าย ทำแล้วต้องมีความสุข ทั้งตนเองและครอบครัว ส่งผลให้วันนี้มาร่วมออกเดินทางกับ FINNOMENA มาช่วยสร้างที่ปรึกษาการเงินพันธุ์ใหม่ โดยผสมผสานทักษะการโค้ชเข้ากับศาสตร์การจัดการทางการเงิน

รู้จักการโค้ชได้อย่างไร ?

เมื่อ 9 ปีก่อน เป็นช่วงที่ชีวิตการทำงานในสายการเงินใกล้มาถึงจุดที่ต้องไปต่อ ในขณะที่ลูกชายคนโตใกล้จะครบกำหนดคลอดในอีกไม่กี่สัปดาห์ การหางานใหม่ที่มั่นคง ในขณะที่ครอบครัวต้องการความแน่นอนเป็นสิ่งท้าทายมาก ผมจำได้ วันที่นั่งรออยู่หน้าห้องฝากครรภ์ ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ ของ พี่จิมมี่ พจนาถ ซีบังเกิด ผู้ก่อตั้งสถาบันฝึกทักษะการโค้ช Thailand Coaching Academy ในนิตยสาร Secret เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับการโค้ชผู้บริหารระดับสูง “CEO Coach” เป็นกระจกสะท้อนให้ผู้บริหารเห็นตัวตน เข้าใจภาพตัวเองชัดขึ้น และพาองค์กรไปข้างหน้าได้ บทความนี้จุดประกายความคิดผมมาก เหมือนมีแสงสว่างส่องมา หลังจากวันนั้น ผมติดต่อและได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่จิมมี่ หลังจากนั้น ก็เริ่มสนใจนศาสตร์ไลฟ์โค้ช

การโค้ช เปลี่ยนความเชื่อได้เหรอ?

เคยมั้ย ที่เราทำอะไรเต็มที่แล้ว แต่ไม่เคยได้รับคำชื่นชมใดๆ สมัยวัยเด็กผมจำได้ ผมอยากได้ยินคำชมจากปากคุณพ่อ เราเรียนพอใช้ได้ เรียนจบแล้ว เราทำเต็มที่แล้ว ทำไมไม่ชื่นชมกับเราสักคำ แต่บอกกับคนรอบข้าง รอมานานมาก ก็ไม่ได้ยิน เลยทำให้ผมมีความเชื่อที่ฝังอยู่ในหัว เราคงยังทำได้ไม่ดีพอ ต้องพยายามมากกว่านี้ หนักกว่านี้ ถึงจะได้ผลงานที่ดีพอ ซึ่งความเชื่อตัวนี้ ส่งผลให้ผมทุ่มเทกับงานมาก กำหนดมาตรฐานการทำงานไว้สูงมาก เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด และอีกสิ่งที่ตามมาด้วย คือ ผมไม่ค่อยชมใครง่ายๆ ไม่ค่อยยอมรับผลงานที่ทีมงานส่งมา งานถูกส่งกลับไปแก้หลายครั้ง หรือบางครั้งผมหยิบมาทำเอง

กว่าจะเข้าใจตัวเอง ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เกือบจะ 40 แล้ว จำได้ว่า พูดคุยกับโค้ชอ้อม ทัศนีย์ จารุสมบัติ ในคอร์ส Life Coaching Practitioner โค้ชพี่อ้อมทักระหว่างการเรียน บอกให้ลองชื่นชมตัวเอง มีคุณสมบัติดีๆ อะไรบ้าง พูดให้ฟังหน่อย จุดนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ใช้ความคิดนานมาก เราไม่เห็นตัวเอง เราไม่ได้ยอมรับตัวเอง ส่งผลให้เราไม่เปิดใจยอมรับผู้อื่นด้วย

เป็นจุดเปลี่ยนเลย ผมเริ่มสำรวจตัวเองใหม่ หลายปีที่ผ่านมา เรามีความคิดที่ผิดพลาดหรือเปล่า? อะไรที่ทำให้เราเชื่อแบบนี้?

เราทำงานหนักเพียงเพื่อจะได้รับการยอมรับ รอคำชื่นชมจากเจ้านาย คนรอบตัว พอเราไม่ได้ ก็ผิดหวัง ไม่พอใจ เหมือนงานที่ทำยังไม่ดีพอ ไม่มีคุณค่าพอ ทางออกในวันนั้น ผมเลือกทางออกที่จะปรับตัวเอง สู้ต่อ ทำงานให้หนักกว่าเดิม ทุ่มเทมากกว่าเดิม เราต้องเก่งขึ้นอีก เพราะโทษตัวเองเสมอ ว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ เครียดกับความสำเร็จมากขึ้น มีเวลากับครอบครัวน้อยลง ส่งผลให้คุณภาพชีวิตครอบครัวเริ่มจะไม่ค่อยดี

เรื่องที่เล่ามาข้างต้น มันสะท้อนอะไรให้เห็นบางอย่าง เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม เราลองมาแกะแผนที่ทางความคิดของผมกัน จากความเชื่อที่ว่า ความสำเร็จ เกิดจากการทำงานหนัก มุมานะ ขยัน อดทน ส่งผลให้ในทุกช่วงชีวิตของผม จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการเรียนรู้ การค้นคว้า และให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นหลัก งานมาก่อน ผนวกกับ ความกลัว ที่แฝงอยู่ในตัวเอง 2 ตัว คือ กลัวคนไม่ยอมรับ และ กลัวทำได้ไม่ดีพอ  เมื่อนำความเชื่อที่ยึดถือและความกลัว มาเชื่อมต่อกัน พบว่าผมกำลังใช้ความเชื่อที่ดี มาแก้ไขความกลัวของตัวเอง เพื่อจะรอรับคำชื่นชมจากคนอื่น ทำให้ผมเหนื่อยมาตลอด ทำงานโดยแบกคนอื่นไว้บนบ่ามาตลอด เพื่อวิ่งหาความสุข จะดีกว่ามั้ย หากผมปรับแผนที่ชีวิตสักนิด ก่อนออกเดินทาง ชื่นชมตัวเองสักหน่อย ว่าที่ผ่านมาทำได้ดีมาก พอครอบครัว พาทุกคนมาถึงจุดนี้ได้ บอกกับตัวเองให้พักบ้าง ผ่อนลงบ้าง หนักก็วางลงบ้าง เมื่อชีวิตเบาลงผลลัพธ์แห่งความสุขก็จะเกิดขึ้นง่าย และมีเวลาคุณภาพกับครอบครัวมากขึ้น

ทุกวันนี้ ผมนำความเชื่อที่ดีของโค้ชมาใช้ในชีวิตการทำงาน ชีวิตประจำวัน เพื่อทำงานร่วมกับคนรอบข้าง ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปโค้ชใครเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งใด เพียงแต่ใช้ความเชื่อในแบบของโค้ช ก็ช่วยให้ผมมองโลกและเข้าใจคนที่อยู่รอบตัวเรามากขึ้น

เราเชื่อว่า คนทุกคนสามารถเป็น และทำได้มากกว่าที่เขาแสดงออกและที่เราเห็น ทุกคนทำดีที่สุดแล้วด้วยศักยภาพที่มีอยู่ขณะนั้น ในครั้งหน้า เราลองมาทำความรู้จักกับ GROW Coaching Model และลองฝึกทำ Self-Coaching กันครับ

ด็อกเตอร์เม เมธี จันทวิมล
Alpha Pro EP.6

ที่มาบทความ: https://adaybulletin.com/know-alpha-pro-my-life-as-a-coach/

อ่านบทความอื่น ๆ จากคอลัมน์ Alpha Pro ได้ที่ https://www.finnomena.com/alphapro/