หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจมุมมองการลงทุนในโลกแห่งอนาคต และสินทรัพย์อย่าง REITs ในวันนี้ FINNOMENA Live จะพาทุกคนไปสำรวจมุมมองของ REITs โดยผู้อำนวยการจากบลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  โดยตรง พร้อมกับจับตาดูเทรนด์การลงทุนยุคใหม่ และกองทุนแนะนำที่พลาดไม่ได้

Megatrends คืออะไร?

Megatrends คือ แนวโน้มระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ความเป็นอยู่ ซึ่งอาจมีผลทำให้พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป เช่น พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนที่เปลี่ยนจากการซื้อสินค้าหน้าร้านมาเป็นการใช้จ่ายบนออนไลน์ (E-commerce) โดยเหตุการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ Megatrends แพร่หลายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากหลังผู้คนได้ลองใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ในช่วงที่มีการ Lockdown

ทำไมเราถึงต้องลงทุนในธุรกิจ Megatrends

  • มีการขยับฐานรายได้ มาที่ชนชั้นกลางมากขึ้น จึงอาจทำให้ผู้คนใช้จ่ายได้มากขึ้น
  • ความเจริญมีการขยายไปสู่ชนบท มีส่วนช่วยในการขยับฐานรายได้
  • สังคมผู้สูงอายุในไทยกำลังเติบโต ธุรกิจการดูแลสุขภาพอาจตอบโจทย์มากขึ้น
  • ธุรกิจ E-commerce อาจช่วยลดต้นทุนในการขายสินค้า (ข้อได้เปรียบ) ผนวกกับโควิด-19 ที่อาจเร่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
  • ระบบ Software & Cloud จะช่วยลดต้นทุนบริษัท ไม่จำเป็นต้องเช่าพื้นที่เซิฟเวอร์เยอะ ๆ เข้ามา Disrupt การวางระบบข้อมูลแบบเดิม ๆ
  • เทรนด์การใช้เทคโนโลยีในการดำเนินงานร่วมกับมนุษย์กำลังมีมาอย่างต่อเนื่อง
  • เทรนด์เทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อมกำลังมีบทบาทมากขึ้น

การเกิดขึ้นของ Evolving Economy ที่กำลังมาแทน Old Economy 

Evolving Economy คือ การค้นหาบริษัทต่าง ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นฐานการใช้ชีวิตของผู้คนในอีกสิบ ๆ ปีข้างหน้า โดยอาจเป็นธุรกิจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งสร้างผลกระทบไปทั่วโลก โดยไม่จำกัดภูมิภาคหรือ Sector ใด ๆ แตกต่างจากบริษัทและธุรกิจแบบเดิม ๆ (Old Economy) ที่อาจถูก ทดแทน(Disrupt) โดยธุรกิจเหล่านี้ (Evolving Economy)

Evolving Economy vs Old Economy

จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของ Evolving Economy มีการเติบโตโดดเด่นกว่ากลุ่มธุรกิจแบบดั้งเดิม โดยให้ผลตอบแทนสูงกว่า กลุ่มเทรนด์เศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่ 27.5%

หากพูดถึงการลงทุนใน Evolving Economy หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังว่าเรากำลังจะลงทุนในธุรกิจแบบไหนกันแน่ ในส่วนถัดไปนี้ ผมจะมาขอแจกแจง Theme การลงทุนหลัก ๆ ให้ทุกคนได้รับชมกัน

Theme การลงทุน: Transitioning Society

ในอีก 10 ปีข้างหน้าคนกว่า 3 พันล้านคนจะขยับฐานรายได้มาอยู่ที่ชนชั้นกลาง โดยอยู่ในเอเชีย 90%

ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียประชากรมีการเปลี่ยนผ่านฐานรายได้มากขึ้น มีความเข้าใจและให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพมากขึ้น จึงต้องการความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น ตัวอย่างธุรกิจในกลุ่มนี้คือ Dr Lal PathLabs บริษัทให้บริการห้อง Lab ตรวจโรค ที่ให้บริการถึง 50 ล้านTests ต่อปี

Theme การลงทุน: Ageing & Lifestyle

จากปี 2018 ถึงปี 2030 จะมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีเพิ่มขึ้นถึง 400 ล้านคนหรือ 42%ซึ่งพอ ๆ กับคนอเมริกันทั้งประเทศ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้มีผลต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาสินค้าและบริการเกี่ยวกับสุขภาพ ตัวอย่างเช่น บริษัท Dexcom Inc ที่ผลิตเครื่องวัดระดับนํ้าตาลผู้ป่วยเบาหวานผ่านผิวสัมผัส โดยไม่ต้องเจาะนิ้วให้เจ็บตัว และเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน Bluetooth หรือ Wifi

Theme การลงทุน: Connected Consumer

มีโอกาสเติบโตอีกมากสำหรับธุรกิจ E-commerce ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2020 ที่ผ่านมา เติบโต 18% (YoY) และในไตรมาส 2 หากไม่รวมภาคการท่องเที่ยวจะโตประมาณ 70-80%

Sector E-commerce กำลังเติบโตจากพฤติกรรมของคนยุค Milennium ที่อยู่ในวัยที่มีกำลังซื้อและเติบโตมากับการใช้อินเทอร์เน็ต

Theme การลงทุน: Automation

มีการคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจที่ลงทุนในอุปกรณ์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็คทรอนิกส์ต่าง ๆ จะเติบโตเฉลี่ย 10%-15% ทุกปี

ตัวอย่างเช่น KEYENCE บริษัทใหญ่อันดับต้น ๆ ในญี่ปุ่นผู้ผลิตและพัฒนาอุปกรณ์เกี่ยวกับ Sensor ที่มีขนาดที่เป็นรองแค่เพียง SoftBank เท่านั้น

Theme การลงทุน: Clean Energy

ตัวอย่างเช่น Kingspan บริษัทก่อสร้างและผลิตวัสดุก่อสร้างที่ช่วยลดพลังงานและลดความร้อนภายในตึก และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

เมื่อเข้าใจถึง Theme การลงทุนและเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจแบบ Evolving Economy กันแล้ว ในส่วนถัดไปเราลองมาดูกองทุนแนะนำจาก บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กันบ้าง

กองทุนแนะนำ LHMEGA

LHMEGA ลงทุนในอะไร?

ลงทุนผ่านกองทุน AXA WF Framlington Evolving Trends ที่ได้รับ Morningstar 4 ดาวและมี ผลตอบแทนเฉลี่ยราว ๆ 10% ต่อปี และกองทุน Healthcare Technology อย่าง Baillie Gifford Health Innovation ที่ลงทุนผ่านนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต

สัดส่วนการลงทุนของ AXA WF Framlington Evolving Trends

ลงทุนใน Theme ต่าง ๆ ข้างต้น ลงทุนในหุ้นขนาดกลางถึงเล็กราว ๆ 30% ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่เน้นการกระจายรายได้ และยึดมั่นกับผลิตภัณฑ์ที่ทำ โดยให้ความสำคัญกับสภาพคล่องของธุรกิจ และมีเงื่อนไขที่ว่าธุรกิจต้องสามารถทำรายได้ผ่านธีม New Economy ในสัดส่วน 70% ขึ้นไป

สัดส่วนการลงทุนของกองทุน AXA WF Framlington Evolving Fund อยู่ในอเมริกาและเน้นลงทุน Sector เทคโนโลยีเป็นหลักซึ่งสัดส่วนอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ โดยบริษัทที่ลงทุนล่าสุดเป็นบริษัทชื่อคุ้นหูอย่างเช่น Alphabet (Google) และ Alibaba

ผลตอบแทนย้อนหลัง

ในช่วงปี 2017 มีการเปลี่ยน Theme การลงทุน Global Equity Fund เป็น Evolving Trend ทำให้ผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 3 ปีมีทิศทางที่ดีขึ้น

กองทุน Baillie Gifford Health Innovation

ลงทุนในเทคโนโลยีที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของมนุษยชาติและลํ้าสมัย (Cutting Edge) ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงแบบก้าวกระโดดในอนาคต โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญอย่างการเลือกบริษัทที่ในอีก 10 ปีข้าง จะสามารถสร้างยอดขายได้ 5 เท่า

ตัวอย่างเช่นบริษัท Illumina ที่ศึกษาพื้นฐานโครงสร้างของ Gene เป็นหลักเพื่อให้นำไปใช้ในการวิเคราะห์ความผิดปกติได้อย่างแม่นยำต่อไป

ข้อแนะนำก่อนลงทุน

ควรตรวจสอบ Maximum Drawdown (การขาดทุนสูงสุด) เช่น AXA Framlington ที่มีMaximum Drawdown อยู่ที่ 30% จึงขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้หรือไม่

*กองทุน LHMEGA คาดว่าจะมีการ IPO ในวันที่ 29 กรกฎาคม – 6 สิงหาคมนี้ ลงทุนขั้นตํ่า 5,000 บาท ติดต่อผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป อาทิ LH Bank , FINNOMENA และอื่น ๆ

มุมมองการลงทุนใน REITs

กลุ่มค้าปลีกอาจได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจน่าจะมีจุดตํ่าสุดที่ไตรมาส 2 และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวต่อไปหลังเปิดเมือง สังเกตได้จากจำนวนคนเข้าห้างสรรพสินค้าที่เพิ่มขึ้น 70-80% จากระดับ 30% ในช่วงก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเช่าที่เก็บจากผู้เช่าค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้น แต่อาจยังต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรก่อนกลับไปสู่ภาวะปกติ โดยมีเงื่อนไขสำคัญอย่างการพัฒนาวัคซีน ซึ่งอาจจะมีออกมาในราว ๆ กลางปีหน้า

REITs กับอัตราดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ในระดับตํ่าอีกสักพัก แต่หากเทียบกับเงินฝากหรือตราสารหนี้แล้ว REITs มีผลตอบแทน จากเงินปันผล ในระดับที่น่าดึงดูด

โดยหากดอกเบี้ยขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของเศรษฐกิจใน ช่วงแรก REITs อาจมีการปรับตัวลงบ้าง แต่ REITs มีรายได้หลัก ๆ มาจากค่าเช่า ซึ่งมีเงื่อนไขสัญญาระยะยาว (1-3 ปี) จึงอาจต้องรอครบสัญญาก่อนถึงจะปรับขึ้นค่าเช่าได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคา REITs ปรับตัวขึ้น

แต่หากดอกเบี้ยขึ้นจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น ราคานํ้ามัน ในขณะที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็อาจส่งผลต่อราคา REITs ในเชิงลบแต่การที่ราคานํ้ามันปรับตัวสูงขึ้นอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการบริโภคนํ้ามันที่ลดลงในปัจจุบัน

ระยะยาวอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นได้ยากจากกลุ่มประชากรผู้สูงอายุและการเติบโตของเศรษฐกิจที่ไม่สูงมาก ดังนั้นเม็ดเงินลงทุนอาจจะยังไหลเข้าสินทรัพย์อย่าง REITs ได้อยู่

ผลตอบแทนย้อนหลังของ LHTPROP

กองทุน LHTPROP มีการจ่ายปันผลสมํ่าเสมอ และกระจายการลงทุนไปในหลายภาคส่วนไม่ใช่แค่ในเฉพาะห้างสรรพสินค้า ในส่วนของโรงแรมทางกองไม่ได้ให้สัดส่วนการลงทุนมาก ผลตอบแทนจึงได้รับผลกระทบน้อยกว่า

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่ไปกับ Megatrend อาจจะเข้ามา Disrupt หรือเปลี่ยนแปลง การใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ของผู้คนออกไป ซึ่งในเชิงการลงทุนแล้ว ธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว หลังประสบความสำเร็จ

หากนักลงทุนท่านใด สนใจลงทุนในธุรกิจที่ว่า แต่ยังไม่มั่นใจหากต้องเลือกหุ้นตัวด้วยตนเอง กองทุน LHMEGA ก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่คู่ควรสำหรับคุณ ซึ่งกองทุน LHMEGA มีแผนจะ IPO ในวันที่ 29 กรกฎาคม – 6 สิงหาคมนี้ เริ่มทุนขั้นตํ่า 5,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป อาทิ LH Bank , FINNOMENA และอื่น ๆ ได้เลยครับ

ขอให้ทุกคนโชคดีครับ

Mr. Serotonin