ถ้าถามนักลงทุนทั่วๆ ไปว่าการลงทุนแนวเน้นคุณค่า หรือแนว VI (Value Investment) นั้นเป็นอย่างไร ภาพที่คนส่วนใหญ่คิดก็คือ “มันรวยช้า” ไม่รวดเร็วทันใจเหมือนการลงทุนเก็งกำไรแนวเทคนิคคอลที่ ซื้อๆ ขายๆ ทำกำไรอย่างรวดเร็ว แต่ข้อเท็จจริงคืออะไร เป็นแบบที่หลายคนเข้าใจหรือไม่
สำหรับแนวการลงทุนระยะยาวแบบ VI นั้นจากประสบการณ์ตรงของผมเลยนั้น มันจะช้าในช่วงเริ่มต้น แต่จะเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามการ “ทบต้น” ของความรู้ และประสบการณ์ของผู้ลงทุน โดยในช่วงแรกของการลงทุนนั้น เราจะไม่รู้อะไรมาก ทำให้เราอาจพลาดไปซื้อหุ้นที่เกินมูลค่าที่แท้จริง และต้อง “ติดดอย” คือติดหุ้นในราคาสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราจะเรียนรู้มากขึ้น สำหรับคนที่เลือกแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า จะเริ่มเก่งขึ้นเรื่อยๆ จะเริ่มทบต้นความรู้ในปีที่ 3 ขึ้นไป และจะเริ่มทบต้นด้านประสบการณ์ในปีที่ 7 ขึ้นไป
… เรามาดูกันดีกว่าว่าลงทุนสไตล์ VI อย่างไรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และมั่นคง ติดตามกันเลย
แนวทางแรก “มองหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเป็นอันดับแรก”
เริ่มต้นด้วยการมองหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นเสียก่อน สำหรับผมแล้วการกรองหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าจะใช้ตัวเลขทางการเงิน ได้แก่ PE คือความถูกแพงของหุ้น (Price / EPS หรือ กำไรต่อหุ้น) P/BV คือ ราคาหุ้นหารด้วยราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี หรือ Book Value และตัวสุดท้ายคือ ROE หรือ ส่วนตอบแทนของผู้ถือหุ้น (Return of Equity)
โดยผมเองจะ “กรองหุ้น” หาหุ้นที่มี PE ต่ำ มี PBV ต่ำ และ ROE สูงๆ เมื่อได้หุ้นที่กรองออกมาแล้วก็จะนำมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการลงทุนต่อไป
แนวทางที่สอง “ดูแนวโน้มของเศรษฐกิจ และกระแสของเมกะเทรนด์”
เมื่อได้หุ้นมาชุดหนึ่งแล้ว นำหุ้นแต่ละตัวมาดูว่าหุ้นตัวไหนที่มีทิศทางดีตามแนวโน้มของเศรษฐกิจ บางครั้งเศรษฐกิจไม่ดี แต่ก็มีกิจการที่สามารถเติบโตในภาวะที่ไม่ดี เช่น กิจการปล่อยเงินกู้ส่วนบุคคล เป็นต้น และเราก็ต้องดูต่อว่ามันอยู่ในเทรนด์หรือไม่ เป็นเมกะเทรนด์หรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น กิจการรถไฟฟ้า ที่จะเปลี่ยนวิถีการเดินทางของคนเมือง ก็ต้องถือว่าเป็นเมกะเทรนด์ กิจการโรงพยาบาล ที่จะตอบรับกับสังคมผู้สูงอายุ ก็ต้องถือว่าเป็นเมกะเทรนด์เช่นกัน มาถึงจุดนี้เราจะได้หุ้นอีกชุดที่มีจำนวนน้อยลงกว่าเดิมแล้วครับ
แนวทางต่อมา “เข้าไปศึกษารายละเอียดแบบเจาะลึก”
เมื่อเราได้หุ้นที่ชุดเล็กลงมาแล้ว ก็ต้องเข้าไปศึกษารายละเอียดแบบ “เจาะลึก” หุ้นที่ผ่านมาถึงด่านนี้จะเป็นหุ้นคุณภาพระดับหนึ่ง ทั้งในเรื่องความถูกของหุ้นที่เรากรองด้วยตัวเลข และคุณภาพของกิจการที่เรากรองด้วยการดูกระแสเมกะเทรนด์ในอนาคต
สำหรับผมมาถึงขั้นนี้จะมีหุ้นเหลือไม่เกิน 3-5 ตัวแล้ว ผมเองจะทำการดาวน์โหลดแบบ 56-1 มาเพื่ออ่านดูว่ากิจการทำอะไรบ้าง โครงสร้างรายได้ของกิจการเป็นอย่างไร กำไรมาจากไหนบ้าง จุดไหนทำกำไรและกำลังเติบโต จุดไหนที่ไม่โตแล้วกำลังตะวันตกดิน เพื่อคัดแยกคุณภาพของกำไรออกมาให้เห็นชัดๆ โดยเราต้องตัดกำไรพิเศษออกไป เอาให้เหลือแต่กำไรปกติล้วนๆ และต้องดูกระแสเงินสดของกิจการด้วยว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ มีกระแสเงินสดดีหรือไม่อย่างไร บางครั้งกระแสเงินสดเป็นลบ แต่เป็นช่วงขยายกิจการ แบบนี้ก็มีเหตุผลรองรับ แต่บางครั้งกิจการอาจไม่ดีจริง แม้มีกำไรก็จะไม่ยั่งยืน เนื่องจากกระแสเงินสดติดลบตลอดเวลา แบบนี้ก็ไม่ค่อยดี
แนวทางสุดท้าย “มองหา Growth ของกิจการ”
การซื้อหุ้นถูก และคุณภาพดี ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะต้องขึ้น สิ่งที่จะทำให้หุ้นขึ้นก็คือ “กำไรต่อหุ้น” ของแต่ละกิจการต้องขึ้น นั่นหมายความว่าหุ้นตัวนั้นมี Growth ที่เป็นการเติบโตจริงๆ ไม่ใช่โตจากข่าว หรือโตจาก story ที่นักปั่นหุ้นทำขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้แมงเม่าบินเข้าไปซื้อหุ้นราคาแพงๆ
สำหรับผมแล้วการมองหา Growth ของกิจการนั้นจะเริ่มต้นจากการดูโครงสร้างของรายได้ และดูว่ารายได้จากแหล่งไหนที่มีแนวโน้มเติบโต ผู้บริหารที่มองภาพเป็นจะต้องตัดกิจการบางส่วนที่ไม่โต ที่เป็นตัวฉุดกำไรไม่ให้โตทิ้งไป ควรเหลือไว้แต่กิจการดีๆ ที่โตและทำกำไร
บางครั้งกิจการอาจโตจากการ “ลดต้นทุน” การดูต้นทุนขาย ต้นทุนของการบริหารจัดการก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ถ้าต้นทุนขายลด หมายถึงกำไรที่มากขึ้น แบบนี้ก็เข้าข่ายลงทุนได้ แต่ถ้าต้นทุนขายลดเพียงครั้งเดียว เมื่อราคาหุ้นสะท้อนผลของการลดต้นทุนแล้ว บางครั้งนักลงทุน VI ก็ต้องขายหุ้นทำกำไร
แนวทางทั้งหมดเป็นเพียงแนวคิดใหญ่ๆ ที่ถ้าทำจริงก็ต้องลงรายละเอียดอีกมากมาย นักลงทุนวีไอจะทำกิจการข้างต้นวนไปเรื่อยๆ คือหาหุ้นลงทุนไปเรื่อยๆ จนพอร์ตเติบโตไปเรื่อยๆ อาจมีผิดพลาดบ้าง แต่ควรถูกมากกว่าผิด ก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และทำได้อย่างยั่งยืน
**สนใจลงทุนในพอร์ต RUNNING for Growth พอร์ตกองทุนรวมหุ้นที่เน้นหุ้นเติบโต จัดพอร์ตโดยนายแว่นลงทุน สามารถดูรายละเอียดและลงชื่อรับบริการได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/port/naiwaen/ หรือแบนเนอร์ข้างล่างเลย