
Financial Time เผยแพร่บทความบนคอลัมน์ The Big Read ในหัวข้อ “Is the world losing faith in the almighty US Dollar“ โดยตั้งคำถามที่น่าสนใจถึงจุดจบของเงินดอลลาร์ เมื่อโลกกำลังหมดศรัทธา หลังสหรัฐอเมริกาเปิดฉากสงครามเศรษฐกิจกับทั้งโลก
ดอลลาร์สหรัฐครองอำนาจทางการเงินมาเกือบ 100 ปี ในฐานะสกุลเงินหลักของโลก หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่ากันว่าความเชื่อมั่นนี้กำลังถูกท้าท้าย และพังทลายลงโดยใช้เวลาไม่ถึง 100 วัน !!!
นับตั้งแต่ Liberation Day เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ที่ Donald Trump ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้รุนแรง สิ่งที่น่ากลัวกว่าการตกใจของตลาดหุ้น คือกระแสเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และการสูญเสียมูลค่าของเงินดอลลาร์ สวนทางกับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำที่ราคาพุ่งทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง
Source: LSEG, Financial Time as of 17/04/2025
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) ลดลง -2.8% ในสัปดาห์เดียว เป็นการอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ และยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง หากนับตั้งแต่ต้นปี 2025 จนถึงปัจจุบัน Dollar Index ลดลงไปแล้ว -8.2% (as of 17/04/2025)
Source: LSEG, Financial Time as of 17/04/2025
ยิ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินปลอดภัยอื่น ๆ เช่น ฟรังก์สวิส ยูโร และเยนญี่ปุ่น จะเห็นว่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงแบบเห็นได้ชัด ทั้งที่ควรจะแข็งแกร่งในช่วงตลาดปั่นป่วน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ดูเหมือนว่าดอลลาร์จะถูกกันออกจากกลุ่มสกุลเงินปลอดภัยในช่วงนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนมาก
Source: LSEG, Financial Time as of 17/04/2025
อย่างไรก็ดี หากมองให้กว้างขึ้น Dollar Index ยังคงสูงกว่าจุดต่ำสุดในปี 2022 ถึง 12% และสูงกว่าจุดต่ำสุดในปี 2008 เกือบ 40%
บทบาทของดอลลาร์ ความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจโลก แต่เกินกว่า 57% ของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศทั่วโลกยังคงเป็นสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังมีแหล่งเงินในรูปแบบอื่นอีกมากมายที่ใช้เงินดอลลาร์เป็นทุนสำรอง ซึ่ง IMF ไม่ได้นับรวม ปัจจุบันดอลลาร์จึงยังคงเป็นสินทรัพย์สำรองที่แท้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย
ดอลลาร์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการค้า 54% ของใบแจ้งหนี้การส่งออกทั่วโลกกำหนดให้ใช้เป็นดอลลาร์
ข้อมูลจาก Atlantic Council ระบุว่า 60% ของเงินกู้และเงินฝากระหว่างประเทศทั้งหมดใช้ดอลลาร์
70% ของการออกพันธบัตรระหว่างประเทศใช้ดอลลาร์
88% ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเกี่ยวข้องกับดอลลาร์
แสดงให้เห็นว่าเงินดอลลาร์หมุนเวียนเป็นเส้นเลือกหลักของระบบการเงินโลก
แม้แต่ธนบัตรของสหรัฐเองก็ถูกถือครองอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก เพราะการถูกยอมรับอย่างกว้างขวาง รู้ไหมว่าครึ่งนึงของธนบัตรสหรัฐ มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ถูกถือครองโดยชาวต่างชาติ
ความต้องการดอลลาร์ที่มหาศาลนี้ แปลเป็น “เบี้ยประกัน” ฝังแน่นให้กับสินทรัพย์ของสหรัฐฯ พูดง่าย ๆ ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ สามารถกู้ยืมเงินได้ในอัตราที่ถูกกว่าที่ควรจะเป็น
ถึงขนาดที่อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส Valéry Giscard d’Estaing เคยเรียกร้องว่านี่เป็น “อภิสิทธิ์ที่เกินขอบเขตของอเมริกา” ทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจในการทำลายระบบการเงินของประเทศอื่นได้ผ่านมาตรการคว่ำบาตร
จาก Nixon Shock สู่ Trump Shock
Nixon Shock คือ การปิดฉากยุคหนึ่งของระบบการเงินและเปิดประตูสู่ยุคใหม่ โดยประธานาธิบดี Richard Nixon ประกาศนโยบายเศรษฐกิจใหม่ต่อครอบครัวชาวอเมริกันที่นั่งดูทีวีในค่ำคืนวันอาทิตย์ โดยมีมาตรการสำคัญอย่างการเก็บภาษีนำเข้า 10% และประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ ในวันที่ 15 สิงหาคม 1971
เหตุการณ์คืนนั้นถือเป็นจุดสิ้นสุดยุค Gold Standard หรือระบบการเงินแบบ Bretton Woods ที่ใช้มายาวนานตั้งแต่ปี 1944 ทำให้ดอลลาร์สหรัฐที่หนุนด้วยทองคำ และเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่สกุลเงินอื่นโคจรรอบ ได้จบสิ้นลงแล้ว
การสิ้นสุดของระบบนี้ นำไปสู่ยุคใหม่ของการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ลอยตัวเสรี เกิดการไหลเวียนของเงินทุนทั่วโลกโดยไม่ผูกพันกับทองคำ และถูกควบคุมจากรัฐบาลกลางน้อยลง
เปิดทางให้ดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินที่ไม่ต้องหนุนด้วยทองคำ (Fiat Currency) ทว่ากลับไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่หลายคนคิด แต่ยังคงรักษาการเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลกต่อไป เนื่องจากความเชื่อมั่นในรัฐบาลและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แทบจะครองโลก
50 ปีต่อมา… โลกเจอกับสิ่งใกล้เคียงกันที่เรียกว่า Trump Shock จากการประกาศเก็บภาษี Reciprocal Tariffs อันก้าวร้าวทั้งในแง่ของผลกระทบและวิธีคิดที่ดูง่ายจนน่าตกใจ
สิ่งน่ากังวลตอน Nixon Shock วนมากวนใจเงินดอลลาร์อีกครั้งในยุค Trump Shock ท่ามกลางบรรยากาศในหมู่นักลงทุนอันตึงเครียด ดอลลาร์ซึ่งปกติจะแข็งค่าขึ้นในช่วงวิกฤต กลับสูญเสียมูลค่าลงอย่างหนัก
ถ้าดอลลาร์ไร้ค่า แล้วอะไรจะแทนได้?
เกิดคำถามมากมายว่าตลาดกำลังประเมินใหม่ถึงความน่าดึงดูดเชิงโครงสร้างของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองโลก และหลายประเทศอาจกำลังเข้าสู่กระบวนการลดการพึ่งพาดอลลาร์อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงกล่าวว่า สถานะสกุลเงินสำรองของดอลลาร์ไม่น่าจะสิ้นสุดลงในเร็ววัน เพราะยังไม่มีตัวแทนที่เหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็น ‘ยูโร’ ซึ่งเป็นเงินตราที่ใช้โดย 20 ประเทศที่แตกต่างกัน ‘หยวน’ ถูกรัฐบาลจีนควบคุมอย่างเข้มงวดเกินไป หรือแม้แต่ ‘ฟรังก์สวิส’ และ ‘เยนญี่ปุ่น’ ก็ยังมีขนาดที่เล็กเกินไป
เปรียบเปรยที่ได้ว่า “ดอลลาร์ไม่ใช่เสื้อตัวที่สวยที่สุดในตู้ แต่เป็นตัวเดียวที่ดูจะใส่ได้พอดีในตอนนี้”
ยิ่งไปกว่านั้น บทบาทนำของดอลลาร์ฝังแน่นอยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง ด้วยปัจจัยอิสระที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน จนแม้แต่รัฐบาล Trump ก็น่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมได้อย่างแท้จริง
แต่ที่น่ากังวลมากกว่านั้นอาจเป็นสิ่งที่ Trump กำลังจะทำต่อไป ซึ่งยากจะคาดเดาได้ เช่น การแทรกแซงธนาคารกลาง ควบคุมเงินทุน ถอนตัวจาก IMF รวมไปถึงการขู่ผิดนัดชำระหนี้บางส่วน สิ่งเหล่านี้ที่ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรม อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ในยุคของ Trump 2.0
Source: Financial Time