pichai-asset-allocation

วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องการแบ่งเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น เงินฝากธนาคาร กองทุน ตลาดหุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ฯ โดยในที่นี้จะพูดถึงเงินลงทุนในหุ้นเป็นพิเศษ การลงทุนในหุ้นก็ไม่ควรที่จะนำเงินลงทุนทั้งหมดที่มีไว้กับหุ้นเพียงตัวเดียว นั่นเปรียบเสมือนว่าเราได้ “แทงหุ้น” ลุ้นว่าหุ้นนั้นจะขึ้นหรือลง ถ้าจะมองดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการพนันเลย ซึ่งไม่ใช่การลงทุนที่แท้จริง

การลงทุนที่แท้จริง จะต้องมีการกระจายการลงทุน ไปในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม และเงินที่ลงทุนในหุ้นนั้น ก็ไม่ควรที่จะซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว ควรจะซื้อหุ้นหลายๆ ตัว เพราะหากหุ้นตัวหนึ่งลง เราก็จะมีหุ้นตัวอื่นที่ขึ้น การลงทุนที่ดีควรจะถือครองหุ้นหลายตัว และคนละอุตสาหกรรม

หุ้นหลายตัวในที่นี้คือ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป กำลังดีสัก 8-10 ตัว พอที่เราสามารถติดตามข้อมูล ข่าวสาร วิเคราะห์งบการเงิน ผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้นได้

หุ้น 8-10 ตัว นี้ก็ต้องอยู่คนละอุตสาหกรรมกัน ไม่ใช่ว่าซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์ซะ 5 ตัวเลย เพราะหากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม อสังหาริมทรัพย์ตก ยอดขายบ้านเดี่ยวตก ทาวน์เฮ้าส์ขายไม่ออก เนื่องจากอยู่ในโซนน้ำท่วม อันนี้ก็แย่เหมือนกัน

ดั้งนั้นการซื้อหุ้นก็ต้องถือหุ้นที่อยู่คนละอุตสาหกรรมด้วย เช่น ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน พาณิชย์ สินค้าเกษตร ถามว่าถือหุ้นอุตสาหกรรมเดียวกันได้ไหม ตอบว่าได้ แต่ไม่ควรเกิน 3 ตัว เช่น ธนาคาร ก็เลือกธนาคารใหญ่ตัวหนึ่ง ธนาคารกลางและเล็กอีกตัวหนึ่งก็ได้

เพราะลักษณะการประกอบธุรกิจของธนาคารใหญ่ก็จะเหมือนกัน เป็น Universal banking ให้สินเชื่อบ้าน สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อโครงการ เงินฝาก บัตรเครดิต ฯ ซึ่งเมื่อเวลาขึ้นก็ขึ้นเหมือนกัน ส่วนธนาคารกลางและเล็ก ก็จะจับตลาดเฉพาะมากขึ้น เช่น บางธนาคารมุ่งด้านสินเชื่อรถยนต์ บางธนาคารมุ่งสินเชื่อบ้าน ซึ่งบางช่วงเวลาสินเชื่อรถยนต์อาจจะดีเป็นพิเศษ จากการที่คนจองรถมากขึ้น หรือจากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุน

ถ้าเป็นอุตสาหกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องเลือกบริษัทที่ทำธุรกิจคนละชนิด เช่น บริษัทหนึ่งเน้นทางด้านทำบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อีกบริษัทเน้นทางด้านทำคอนโดมีเนียม เพราะจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมากระทบกับธุรกิจทำบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์แถบชานเมืองมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทเหล่านั้นปรับตัวลดลง ในขณะที่ยอดขายคอนโดมีเนียมเพิ่มสูงขึ้น และในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน มีแผ่นดินไหว ก็อาจจะทำให้ยอดขายคอนโดมีเนียมลดลง ยอดซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นก็ได้

สร้างพอร์ตการลงทุนทั่วโลก

การกระจายการลงทุนด้วยการซื้อหุ้นหลายตัว ในหลายอุตสาหกรรม เป็นสิ่งที่ดี แต่ยังไม่ดีที่สุด เพราะคุณยังลงทุนในตลาดหุ้นไทย เท่ากับว่าไข่ทั้งหมด หรือเงินลงทุนของคุณอยู่ในตะกร้าใบเดียวอยู่ดี เพราะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยเพียงแห่งเดียว เพราะประเทศไทย ประสบกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจ การเมือง แล้ว ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ประเทศอื่น อาจจะไม่ประสบปัญหาแบบเดียวกับเรา

ทางที่ดีเราก็ควรจะกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง โดยอาจจะกระจายเงินที่ต้องการลงทุนในหุ้นไปยังตลาดหุ้นใหญ่ๆ ของโลก เช่น สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนอ้างอิงดัชนีในตลาดหุ้นนั้นๆ ซึ่งปัจจุบันสามารถซื้อได้ง่าย ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่ง โดยตลาดหุ้นหลักๆ มีดังนี้

  • ตลาดหุ้นสหรัฐ ก็อาจจะลงทุนในกองทุนที่อ้างอิง S&P 500 (หุ้นขนาดใหญ่ 500 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐ)
  • ตลาดหุ้นยุโรป ก็อาจจะลงทุนในกองทุนที่อ้างอิง STOXX600 (หุ้น 600 ตัวในยุโรป ที่อยู่ใน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ฯ)
  • ตลาดหุ้นจีน ก็อาจจะลงทุนในกองทุนที่อ้างอิน Hong Kong Hang Seng Index (หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง) หรือ CSI300 (หุ้นจีนที่อยู่ในตลาดเซินเจิ้น กับ ตลาดเซี่ยงไฮ้ 300 ตัว)
  • ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ก็อาจจะลงทุนในกองทุนที่อ้างอิง Nikkei 225 (หุ้นญี่ปุ่นที่มีราคาสูงสุด 225 ตัว)

การกระจายการลงทุนในต่างประเทศดีอย่างไร เนื่องจากความแตกต่างกันทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อมของธุรกิจ การจ้างงาน นโยบายการเงินการคลัง ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ซึ่งในแต่ละช่วงตลาดหุ้นในแต่ละประเทศก็จะมีทั้งดีและไม่ดี ซึ่งโดยรวมในระยะยาวก็จะเป็นการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของเราได้เป็นอย่างดี