Tactical Call 26 เม.ย. 67

กองทุนเด่นที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะสั้น โดยเน้นการใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด

Tactical Call คืออะไร และทำไมต้องเชื่อเรา ?

Tactical Call เหมาะกับใคร ?

  • นักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน
  • สามารถรับความผันผวนได้สูง
  • สามารถยอมรับการตัดขาดทุนได้ทันที

ซื้อ

Mr.Messenger Call: ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนาม หลังดัชนีทำสัญญาณกลับตัว

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ทำสัญญาณกลับตัวหลังลงมาทดสอบ Fibonacci Retracement 61.80% ของรอบขาขึ้นที่กินเวลานับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับแนวรับบนเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน ที่ระดับ 1,192 จุด และสามารถมีแท่งกลับตัวได้ในวันจันทร์ (22/04/2024) ที่ผ่านมา


Mr.Messenger จึงแนะนำลงทุนภายใต้คำแนะนำ Mr.Messenger Call ในกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนหุ้นเวียดนามที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Active ให้ผลการดำเนินงานเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี VN30 ซึ่งมีค่า Correlation กับดัชนี VN30 ที่ 0.93 สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นเวียดนาม โดยมีคำแนะนำดังนี้

 

  1. แนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี ไม่เกินระดับ 1,222 จุด (+1.2% จากระดับราคาวันที่ 23/04/2024) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Mr.Messenger Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1
  2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อดัชนีถึง 1,306 จุด (Upside 8.1% จากระดับราคาวันที่ 23/04/2024 และ +6.9% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงจุดสูงสุดเดิมในเดือนมีนาคม 2024
  3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อดัชนีปิดตลาดต่ำกว่า 1,138 จุดอย่างมีนัยยะ ซึ่งใกล้เคียงระดับ Fibonacci 38.2% (Downside -5.8% จากราคาวันที่ 23/04/2024 และ -6.9% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) โดยเราอาจพิจารณาแนะนำ Trailing Stop ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day MA) โดยเราจะประเมินสถานการณ์และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

FundTalk Call: ถึงรอบของ Global Health Care แนวโน้ม turnaround พร้อม Sector Rotation

เปรียบเทียบกองทุน

Health Care Sector(XLV) พักฐานมานานถึง 2 ปี หลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการในกลุ่มวัคซีนที่ชะลอตัวลง และหลังจากการปรับประมาณการกำไรลดลง 7 ไตรมาสติดต่อกัน จากฐานที่สูงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้แนวโน้ม Earnings ในปีนี้มีโอกาสที่จะกลับมา turnaround อีกครั้ง โดยนักวิเคราะห์คาดว่ากลุ่ม HealthCare จะมีกำไรเติบโตมากกว่า 20% ในปีนี้ หนุนโดยยาเบาหวานและลดความอ้วนอย่าง Wegovy และ Zepbound ของ Novo Nordisk และ Eli Lilly ตามลำดับ


ด้าน Fund Flow เราเริ่มเห็นการเกิด sector rotation ในช่วงต้นปี โดยมีการไหลออกของเม็ดเงินจาก Sector Technology และ Consumer Discretionary ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในปีที่ผ่านมา สู่ Sector HealthCare ที่มี Fund Flow ไหลเข้ามาเป็นอันดับแรก


นักวิเคราะห์กลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อ Health Care โดยเจ้าใหญ่อย่าง JPMorgan ให้มุมมอง Overweight ต่อหุ้นในกลุ่มแบบ selective ส่วน Morgan Stanley ให้ Long-term buy สำหรับการลงทุนใน Global Health Care โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มยาและ biotech เช่นเดียวกับ Citi ให้มุมมอง Overweight และคาดว่ากลุ่มนี้จะมีการปรับตัวขึ้นได้ดีทั้งกลุ่ม จากนวัตกรรมและความต้องการด้านเทคโนโลยีสุขภาพที่มีอยู่ในระดับสูง ส่วน Wells Fargo ให้ Long-term buy สำหรับการลงทุนใน Global Healthcare


จากสถิติย้อนหลังราคากลุ่ม Health Care/S&P 500 จะมีวัฏจักรของการเคลื่อนไหวของราคา และมองว่าปีนี้น่าจะได้เห็นวัฏจักรที่กลับมา outperform S&P 500 ได้ จากภาพการ turnaround ของกำไรที่แสดงไว้ในช่วงต้น


เมื่อพิจารณา กลุ่ม Health Care จะพบว่ามีหลาย Sector ย่อย โดยมีน้ำหนักที่เป็นส่วนประกอบหลักคือ

  1. กลุ่มบริษัทยาขนาดใหญ่ (Pharma) ซึ่งมีแนวโน้มรายได้กำไรโตแรงต่อเนื่อง จากความตื่นตัวในยาเบาหวานและลดความอ้วน ซึ่งมีการเร่งตัวของกำไรมาตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา
  2. กลุ่มบริษัทที่เป็นวัสดุ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่รายได้และกำไรจะไม่ได้ผันผวนมากนัก แต่จะเติบโตไปตามอุตสาหกรรมและเทรนด์ด้านประชากรศาสตร์มากกว่า แต่อัตรากำไรในกลุ่มนี้ก็จะไม่ได้สูงนัก
  3. บริษัทยาประเภท Biotech ซึ่งอาจจะยังไม่มีกำไร แต่เป็นบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตได้เร็วจากการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพใหม่ ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การใช้ยารักษา
  4. กลุ่ม Managed Healthcare & Service คือระบบการเบิกจ่ายยา หาหมอทำประกันในสหรัฐฯ เป็นต้น


จากที่วิเคราะห์อุตสาหกรรมและความน่าสนใจของแนวโน้มการเติบโตของกลุ่ม Health Care หลังจากนี้มาเจาะลึกในการเลือกกองทุนลงทุนจะได้ KT-HEALTHCARE-A (กองทุนหลัก: Janus Global Life Sciences Fund) เด่นเรื่องผลตอบแทน เน้นหนักในกลุ่ม BioTech ขณะที่ K-GHEALTH(UH) & KFHEALTH-A (กองทุนหลัก: JPMorgan Global Healthcare) เด่นเรื่องคุมความเสี่ยง เวลาราคาลง กองลงน้อยกว่าคู่แข่ง


เมื่อเปรียบเทียบกองทุนทั้ง 3 กอง จึงแนะนำลงทุนใน K-GHEALTH(UH) & KFHEALTH-A ที่ลงทุนใน JPMorgan Global Healthcare เป็น #FundTalkCall ล่าสุด ณ วันที่ 6 ก.พ. 67 ครับ

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

FundTalk Call: แนะนำหุ้น EM

FundTalk มีมุมมองต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ที่ดีขึ้น โดยมองว่าตลาด EM จะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (Developed Market: DM) หลังจากที่ราคาตลาดหุ้น EM อยู่ในกรอบแนวข้าง (sideway) มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023

หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของตลาดหุ้น EM คือตลาดหุ้นจีน โดยถ้าหากพิจารณาราคาดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ จะพบว่าเป็นแนวโน้มขาลงมาตั้งแต่ปี 2022 อย่างไรก็ดี ในระหว่างช่วงขาลงดังกล่าว ตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวขึ้นในระยะสั้น ๆ ตามนโยบายการช่วยเหลือต่าง ๆ จากภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาก็มีปัจจัยเชิงลบจากนโยบายกดดันอุตสาหกรรมต่าง ๆ จากภาครัฐเช่นกัน แต่ในปี 2024 นี้ รัฐบาลจีนมีความพยายามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังมากขึ้น ความพยายามดังกล่าวสะท้อนไปยังราคาของดัชนี CSI 300 ซึ่งปรับตัวขึ้นมา 13% จากจุดต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

Mr.Messenger Call: หุ้นยุโรปทำนิวไฮ พร้อมเกิดสัญญาณ Golden Cross

  • ONE-EUROEQ

    กองทุนหุ้นยุโรป

    Feeder Fund

  • ABEG

    กองทุนหุ้นยุโรป

    Feeder Fund

เปรียบเทียบกองทุน

ดัชนีตลาดหุ้นยุโรป (STOXX Europe 600) ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ พร้อมเกิดสัญญาณ Golden Cross (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน) และกำลังเข้าสู่ Extension Wave 5

Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนในกองทุน ONE-EUROEQ และ ABEG ซึ่งมีค่า Correlation กับดัชนี STOXX EURO 600 ที่ 0.94 และ 0.72 โดยมีคำแนะนำ ดังนี้

  1. แนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี ไม่เกินระดับ 514 จุด (+2% จากระดับราคาวันที่ 15/03/2024) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1
  2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อดัชนีถึง 563.9 จุด (Upside 12% จากระดับราคาวันที่ 15/03/2024 และ +9.5% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) ซึ่งใกล้เคียงระดับ Fibonacci 161.8% ตาม Extension Wave 5 
  3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อดัชนีปิดตลาดต่ำกว่า 465 จุดอย่างมีนัยยะ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมในปี 2024 (Downside -7.6% จากราคาวันที่ 15/03/2024 และ -9.5% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) โดยเราอาจพิจารณาแนะนำ Trailing Stop ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day MA) โดยเราจะประเมินสถานการณ์และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง


อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

Mr.Messenger Call: เก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ หลังมี momentum เชิงบวก

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกเริ่มมีสัญญาณปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุด NAV ของ iPath Bloomberg Commodity Index Total return ETN (DJP) ซึ่งเป็น ETN ที่ Track กับ Bloomberg Commodity Index Total Return ปรับตัวขึ้นเหนือแนวต้าน Fibonacci 23.6% พร้อมเกิดสัญญาณซื้อจาก MACD ขณะที่ RSI ปรับตัวขึ้นเหนือ 50 สะท้อนถึงแนวโน้ม momentum เชิงบวก นอกจากนี้ ใน Timeframe 1 ชั่วโมง เกิด Bullish divergence ของ RSI


Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนภายใต้คำแนะนำ Tactical Call ในกองทุน SCBCOMPซึ่งลงทุนใน PIMCO Commodities Real Return ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์และลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสามารถลงทุนได้ โดยกองทุน SCBCOMP* มีค่า Correlation เทียบกับดัชนี DJP ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.958 โดยคำแนะนำมีดังนี้


1. แนะนำเข้าลงทุนที่ NAV ของ DJP ไม่เกินระดับ $31 (+1.0% จากระดับราคาวันที่ 26/01/2024) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1

2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไรจุดที่ 1  เมื่อ NAV ของ DJP ปรับตัวขึ้นถึง $32.4 (Upside 5.9% จากระดับราคาวันที่ 26/01/2024 และ 4.8% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) ซึ่งใกล้เคียงระดับ Fibonacci 78.6% และ gap เดิมที่เคยเปิดไว้วันที่ 6/11/2023

สำหรับระดับ Take Profit หรือขายทำกำไรจุดที่ 2 คือ จุดสูงสุดเดิมในเดือนกันยายน 2023 ที่ประมาณ $33 (Upside 7.7% จากระดับราคาวันที่ 26/01/2024 และ 6.5% จากจุดหยุดเข้าซื้อ)

3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อ NAV ของ DJP  ปิดตลาดต่ำกว่า$29.46 อย่างมีนัยยะ (Downside -3.8% จากราคาวันที่ 02/01/2024 และ -4.8% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) โดยเราอาจพิจารณาแนะนำ Trailing Stop ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day MA) โดยเราจะประเมินสถานการณ์และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

FundTalk Call: โอกาสการลงทุนใหม่จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น

FundTalk มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อราคาพลังงาน จึงแนะนำลงทุนในกองทุน KT-ENERGY ซึ่งลงทุนใน BGF World Energy Fund บริหารกองทุนโดย BlackRock

กองทุนดังกล่าวลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก โดยหุ้นที่กองทุนลงทุนจะต้องดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจและผลิต ธุรกิจโรงกลั่น หรือธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยปกติแล้วหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานมักได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยหน่วยลงทุนของกองทุน BGF World Energy Fund มีราคาเคลื่อนไหวไปตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบเช่นกัน นักลงทุนจึงสามารถลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าว เพื่อให้ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นได้

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

FundTalk Call: แนะนำลงทุน Hang Seng หลัง P/E ถูกสุดในรอบทศวรรษ พร้อมสัญญาณฟื้นจากการกระตุ้นชุดใหญ่

FundTalk Call: แนะนำลงทุนกองทุน MEGA10CHINA-A หลัง P/E ของดัชนี Hang Seng ถูกสุดในรอบทศวรรษ พร้อมสัญญาณฟื้นจากการกระตุ้นชุดใหญ่

(คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นหนึ่งในคำแนะนำในรูปแบบ Tactical Call มุ่งหาโอกาสการลงทุนตามสถานการณ์ และปัจจัยทางเทคนิค)


ตลาดหุ้นจีนทั้ง ดัชนี CSI 300 และดัชนี Hang Seng ปรับตัวทำจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแแต่ปี 2019 และ 2009 ตามลำดับ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อ่อนแอ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการเผชิญพายุปัญหาอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงจนทำให้เกิดภาวะเงินผืด แต่ต้นสัปดาห์นี้มีข่าวที่ทำให้นักลงทุนหุ้นจีนใจชื้นขึ้นได้บ้าง และอาจจะเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นจีนก็เป็นได้


โดยเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราการตั้งสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% คาดว่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องระยะยาวได้ 1 ล้านล้านหยวน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ สามารถปล่อยสินเชื่อและซื้อพันธบัตรเพื่อหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน


ก่อนหน้าที่จะมีข่าวการปรับลด RRR ในวันที่ 23 มกราคมก็มีแหล่งข่าวที่เปิดเผยว่า ทางการจีนกำลังวางแผนจัดสรรเงินที่อยู่ในต่างประเทศของเหล่าบริษัทรัฐวิสาหกิจมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนกองทุนรักษาเสถียรภาพ (stabilization fund) เพื่อซื้อหุ้นในตลาดแผ่นดินใหญ่ (onshore) อีกทั้งยังมีแผนจัดสรรเงินของกองทุนท้องถิ่นเพื่อลงทุนหุ้นในประเทศผ่าน China Securities Finance Corp. หรือ Central Huijin Investment Ltd. เป็นจำนวน 3 แสนล้านหยวนอีกด้วย แหล่งข่าวคาดว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะประกาศออกมาภายในอาทิตย์นี้


ดัชนี Hang Seng เทรดอยู่ในระด้บราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 ปีอีกนิดเดียวก็จะลึกไปจนถึงระดับ Hamburger Crisis ช่วงปี 2008 นับเป็นการปรับตัวลงมามากที่สุดกว่า 56% จากจุดสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึงในปี 2018 หรือปรับตัวลงมาแล้วกว่า 52% ในรอบสามปี


ขณะที่ P/E ของดัชนี Hang Seng เทรดที่ระดับประมาณ 7 เท่า ที่ระดับประมาณ -2.5 S.D. ถูกที่สุดในรอบ 10 ปี


อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรของตลาดหุ้นจีนจะเติบโตประมาณ 15 - 20% ในปีนี้และปีหน้า ทำให้ระดับ P/E อยู่ที่ระดับ 7 เท่า ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต จึงเป็นที่มาของ FundTalk Call ในกองทุน MEGA10CHINA-A ในครั้งนี้ !


Fund Talk Call แนะนำโอกาสการลงทุนสไตล์ชาวสวน (The Contrarian Investor) อีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงมาลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพในการเติบโตระยะยาวยังดี ประกอบกับลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้เรามีโอกาสได้เข้าลงทุน ในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล


MEGA10CHINA-A เน้นลงทุนใน 10 บริษัทที่ทรงอิทธิพลของจีน ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) โดยแนวทางการคัดเลือกหุ้นคือต้องเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง และเน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value)

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

Mr.Messenger Call: หุ้นอินเดีย รับอานิสงค์ MSCI เพิ่มน้ำหนัก เศรษฐกิจโตแกร่ง

เปรียบเทียบกองทุน

Mr.Messenger Call: หุ้นอินเดีย รับอานิสงค์ MSCI เพิ่มน้ำหนัก เศรษฐกิจโตแกร่ง


นักวิเคราะห์จาก Nuvama Alternative & Quantitative Research คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียราว 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายหลัง MSCI ประกาศเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียในดัชนี MSCI EM Index สู่ระดับ 18.2% ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ซึ่งปัจจุบันตลาดหุ้นอินเดียมีน้ำหนักในดัชนี MSCI EM Index เป็นอันดับที่ 2 รองจากตลาดหุ้นจีนที่มีน้ำหนักราว 25.4%


แนวโน้มการเติบทางเศรษฐกิจในระยะยาวของอินเดียสูงกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดย IMF คาดการณ์ว่า GDP ของอินเดียในปี 2024 จะเติบโต 6.3% ขณะที่กลุ่มประเทศ Emerging and Developing Asia เติบโตเพียง 4.8% ทำให้อินเดียประเทศที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา


ในเชิงโครงสร้างประชากรของอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย IMF คาดการณ์ว่าจำนวนประชากรอินเดียจะเพิ่มขึ้นสู่ 1.5 พันล้านคนในปี 2030 จาก 1.4 พันล้านคนในปี 2020 ขณะที่สัดส่วนวัยทำงาน (อายุ 15-64 ปี) จะเพิ่มขึ้นสู่ 68.9% จากระดับ 67.2% ทำให้ในเชิงโครงสร้างประชากรมีความได้เปรียบกว่าประเทศอื่น ๆ ที่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น


แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวลงในปีที่ผ่านมา แต่ภาคการผลิตของอินเดียยังขยายตัวได้ดีสวนทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตของอินเดียยังอยู่ในแดนขยายตัว (สูงกว่า 50) มาอย่างต่อเนื่อง


ภาคการบริโภคของอินเดียที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนหลักต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอินเดียในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเดือนอินเดียปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19


ในแง่ของ Valuation ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลาดหุ้นอินเดียเป็นตลาดที่ Valuation อยู่ในระดับสูงมาตลอด ปัจจุบัน forward 12-m P/E ของดัชนี MSCI India อยู่ที่ 22 เท่า หรือที่ระดับ +1.5 S.D. เทียบกับตัวเองในรอบ 10 ปี แต่มูลค่าที่สูงย่อมแลกมาด้วยการเติบโตที่สูงเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Bloomberg consensus คาดการณ์ว่ากำไรของตลาดหุ้นอินเดียจะเติบโต 20.5% และ 14.6% ในปี 2024 และ 2025


ด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูง ทำให้แนวโน้มเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียหลัง MSCI เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียในการคำนวนดัชนี Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนในหุ้นอินเดียผ่านกองทุน B-BHARATA และกองทุน TISCOINA-A

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

Mr.Messenger Call: หุ้นจีนเกิดสัญญาณกลับตัว ทะยานเหนือแนวต้านสำคัญ

เปรียบเทียบกองทุน

ดัชนีตลาดหุ้นจีนเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น หลังทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัว ล่าสุดวันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา PBOC ได้ปรับลด LPR 5 ปีลง 25 bps มาที่ระดับ 3.95% ส่งผลให้ NAV ของ MCHI ETF (iShares MSCI China ETF) ทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ 4 มกราคม 2567 พร้อมยืนเหนือแนวต้าน fibonacci 38.20 บ่งชี้โอกาสการกลับตัวในอนาคต ขณะที่ MACD ตัวขึ้นเหนือแกน 0 สะท้อนถึงแนวโน้มเชิงบวก


Mr.Messenger จึงแนะนำลงทุนภายใต้คำแนะนำ Tactical Call ในกองทุน B-CHINE-EQ และ K-CHINA-A(A) ซึ่งมีค่า Correlation กับ MCHI ETF ที่ 0.83 และ 0.87 โดยมีคำแนะนำดังนี้


  1. แนะนำเข้าลงทุนที่ NAV ของ MCHI ไม่เกินระดับ $40.7 (+0.9% จากระดับราคาวันที่ 27/02/2024) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1
  2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อ NAV ของ MCHI ปรับตัวขึ้นถึง $45.3 (Upside 12.8% จากระดับราคาวันที่ 27/02/2024 และ +11.9% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) ซึ่งใกล้เคียงระดับ Fibonacci 100%
  3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อ NAV ของ MCHI ปิดตลาดต่ำกว่า $35.6 อย่างมีนัยยะ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิม (Downside -11.2% จากราคาวันที่ 27/02/2024 และ -11.9% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) โดยเราอาจพิจารณาแนะนำ Trailing Stop ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day MA) โดยเราจะประเมินสถานการณ์และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

Mr.Messenger Call: คว้าโอกาสการเข้าเก็งกำไรใน Russell 2000 หลังปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

  • SCBRS2000(A)

    หุ้นสหรัฐฯ ขนาดกลางและเล็ก

    Feeder Fund

  • ASP-USSMALL

    หุ้นสหรัฐฯ ขนาดกลางและเล็ก

    Feeder Fund

เปรียบเทียบกองทุน

Sentiment เชิงบวกในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากความผ่อนคลายทางด้านนโยบายทางการเงินหลังการประชุม FOMC รอบล่าสุด ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยในปี 2024 ท่ามกลางตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง หนุนให้ดัชนี Russell 2000 ที่มีความอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ในวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา


FINNOMENA FUNDS Investment Team จึงแนะนำลงทุนภายใต้คำแนะนำ Tactical Call ในกองทุน SCBRS2000(A) ซึ่งเป็นกองทุน passive fund ที่ลงทุนตามดัชนี Russell 2000 และกองทุน ASP-USSMALL ซึ่งเป็นกองทุน active fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กแบบ High Conviction โดยมี Russell 2000 เป็นดัชนีเปรียบเทียบ และมีค่า Correlation 0.896 โดยคำแนะนำมีดังนี้


1. แนะนำเข้าลงทุนที่ราคาหน่วยลงทุน Russell 2000 (RUT) ไม่เกินระดับ 2,054 จุด (+1.6% จากระดับราคาวันที่ 20/12/2023) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1


2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อราคาหน่วยลงทุน RUT ปรับตัวขึ้นถึง 2,300 จุด (Upside 11% จากระดับราคาวันที่ 20/12/2023 และ 12% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) ซึ่งเป็นระดับ fibonacci 78.6%


3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อราคาหน่วยลงทุน RUT ปิดตลาดต่ำกว่า 1838 จุด หรือระดับ fibonacci 23.6% (Downside 9% จากราคาวันที่ 20/12/2023 และ -11% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) โดยเราอาจพิจารณาแนะนำ Trailing Stop ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day MA) โดยเราจะประเมินสถานการณ์และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง


นักลงทุนที่เหมาะกับ Tactical Call ระยะสั้นนี้ควร…

  1. เป็นนักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน และรับความผันผวนได้สูง
  2. ใช้เงินลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของภาพรวมพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
  3. นักลงทุนต้องยอมรับการ Limit Loss หรือ การตัดขาดทุนได้ทันที

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ซื้อ

Mr.Messenger Call: เก็งกำไรหุ้นไทย Mid Small Cap หลังเกิดสัญญาณกลับตัว

  • ASP-SME-A

    กองทุนหุ้นไทยทั่วไป

    Feeder Fund

Mr.Messenger Call: เก็งกำไรหุ้นไทย Mid Small Cap หลังเกิดสัญญาณกลับตัว


ตลาดหุ้นไทยเริ่มมี Sentiment ที่ดีขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคในช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา โดยดัชนี sSET ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นไทยขนาดกลางเล็กยืนเหนือ Fibo 23.6% ของรอบขาลง พร้อมกับสร้างรูปแบบ Triple Bottom ทะลุ Neckline ขึ้นมาบ่งชี้ถึงสัญญาณการกลับตัว รวมถึงสัญญาณ MACD ตัดขึ้นเหนือแกน 0 บ่งบอกถึงโมเมนตัมของดัชนีว่ามีแนวโน้มเป็นขาขึ้น


นอกจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบเชิง sentiment ต่อหุ้นขนาดกลาง-เล็กของไทยแล้ว แรงกดดันด้านดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่อนคลายลงของธปท. หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทำให้ค่าเงินบาทของไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นส่งผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน


Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนภายใต้คำแนะนำ Tactical Call ในกองทุน ASP-SME-A ซึ่งเป็นกองทุนที่บริหารแบบ Active เน้นลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมีค่า Correlation เทียบกับดัชนี sSET ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.865 โดยคำแนะนำมีดังนี้


  1. แนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี sSET ไม่เกินระดับ 902 จุด  (+1.0% จากระดับราคาวันที่ 2/1/2024) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1
  2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อดัชนี sSETปรับตัวขึ้นถึง 995 จุด (Upside 10.0% จากระดับราคาวันที่ 2/1/2024 และ 9.4% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) ซึ่งใกล้เคียงระดับ fibonacci 50.0%
  3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อดัชนี sSET ปิดตลาดต่ำกว่า 864 จุด หรือระดับจุดต่ำสุดเดิม (Downside 3.2% จากราคาวันที่ 2/1/2024 และ -4.3% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) โดยเราอาจพิจารณาแนะนำ Trailing Stop ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day MA) โดยเราจะประเมินสถานการณ์และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง


ASP-SME-A

กองทุน ASP-SME-A เป็นกองทุนความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางและขนาดเล็กที่มี Market Cap. ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท โดยเน้นบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (High Quality of eanings growth)

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ถือ

Mr.Messenger Call: Take Profit หุ้น Blockchain บางส่วน พร้อมหมุนเงินเข้าเก็งกำไรต่อในสินทรัพย์อื่น

Mr.Messenger จึงแนะนำ take profit บางส่วนในกองทุน ASP-DIGIBLOC สำหรับนักลงทุนที่เน้นเก็งกำไรระยะสั้น โดยพักเงินไว้ที่กองทุน Money Market Fund อย่างกองทุน KKP MP หรืออาจพิจารณาเข้าลงทุนใหม่ตามคำแนะนำของ Mr.Messenger Call

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ถือ

FINNOMENA Tactical Call: Dollar Index อ่อนค่าหนุน EM ทะยาน

  • TMBEMEQ

    Emerging Market Equity (Passive)

    Feeder Fund

  • K-SEMQ

    Emerging Market Equity

    Feeder Fund

เปรียบเทียบกองทุน

MSCI Emerging Market ปรับตัวขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (MA50) ได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมด้วย RSI ที่ระดับ 62 จุด และการปรับตัวขึ้นของ MACD เหนือระดับ 0 สะท้อน Momentum ที่แข็งแกร่ง จึงมีคำแนะนำดังนี้


1. iShares MSCI Emerging Markets ETF แนะนำเข้าลงทุนที่ระดับราคาไม่เกิน 39.20 ดอลลาร์ (+1.03%) จากระดับราคาปิดตลาดวันที่ 15/11/2022 ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1


และหากหลังจาก FINNOMENA Investment Team แนะนำ Tactical Call แล้ว iShares MSCI Emerging Markets ETF ปรับตัวลงต่ำกว่า 39.20 ดอลลาร์ และปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 39.20 ดอลลาร์อีกครั้ง FINNOMENA Investment Team ยังคงแนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากปัจจัยทางเทคนิคอาจเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงที่ให้คำแนะนำครั้งแรก


2. แนะนำ Take Profit เมื่อถึงระดับ 43.10 ดอลลาร์ ซึ่งตรงกับแนว Fibonacci Retracement 38.2 และตรงกับจุดสูงสุดของ Bear Market Rally ในช่วงเดือนมิถุนายน 2022 (Upside 9.95%) จากระดับราคาปิดตลาดวันที่ 15/11/2022 

 

3. และแนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อดัชนีปิดตลาดต่ำกว่า 37.00 ดอลลาร์ (จากเดิมที่ระดับ 35.10 ดอลลาร์) (Downside -4.5%) ซึ่งตรงกับจุดต่ำสุดของรอบขาขึ้นปัจจุบัน เพื่อรักษาเงินต้นและวินัยการเก็งกำไร



นักลงทุนที่เหมาะกับ Tactical Call ระยะสั้นนี้ควร…

1. เป็นนักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน และรับความผันผวนได้สูง

2. ใช้เงินลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของภาพรวมพอร์ตการลงทุนทั้งหมด

3. นักลงทุนต้องยอมรับการ Limit Loss หรือ การตัดขาดทุนได้ทันที

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ถือ

Fund Talk Call: ถึงเวลาลงทุนหุ้นไทย โอกาสทำกำไรรับปัจจัยบวก

  • TISCOHD-A

    หุ้นไทยขนาดใหญ่

Fund Talk Call: ถึงเวลาลงทุนหุ้นไทย โอกาสทำกำไรรับปัจจัยบวก

(คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นหนึ่งในคำแนะนำในรูปแบบ Tactical Call มุ่งหาโอกาสการลงทุนตามสถานการณ์ และปัจจัยทางเทคนิค)


ในช่วงต่อจากนี้เราน่าจะได้เห็น fund flow ไหลเข้ากลับเข้าตลาดหุ้นไทยกันมากขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้าสู่วงจรการหยุดขึ้นดอกเบี้ย ทำให้แรงกดดันของดอกเบี้ยนโยบายไทยผ่อนคลายลง ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ประกอบกับภาพการส่งออกไทยช่วงปลายปี 2023 เริ่มกลับมาดูดี อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมในปี 2023 ทำได้ตามเป้าของ ททท. ที่ 28 ล้านคน ก็เป็นอีกหนึ่งแรงส่งที่ดีต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้


แต่ไม่เพียงเท่านี้ เศรษฐกิจไทยยังมีลุ้น Positive surprise ออกมาต่อเนื่องทั้ง


1. บรรยากาศทางด้านเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้น สิ่งเกิดขึ้นในช่วงนี้เราไม่ได้เห็นมานานกับการที่ไทยได้ติดต่อกับนานาอารยประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ TESLA จะมาตั้งโรงงานในประเทศไทย หรือแม้แต่ค่ายรถญี่ปุ่นที่ตอนนี้กำลังลำบาก เราก็ไปชวนเข้ามาลงทุนเพิ่ม และล่าสุดระหว่างที่นายกฯ ไปเยือนญี่ปุ่นเพื่อร่วมประชุม สุดยอดผู้นำอาเซียน-ญี่ปุ่น ได้มีการหารือกับ 7 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ที่จะเพิ่มเงินลงทุนในไทยอีก 8.2 หมื่นล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า


2. แรงหนุนของกลุ่ม Big Tech ถือเป็น Positive Surprise ที่สอง ซึ่งช่วงปลายปีที่แล้วประเทศไทยได้เซ็น MOU กับ Google ภายใต้ความตกลงในครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจะเน้นเรื่องส่งเสริมให้เศรษฐกิจ AI ของไทยเติบโต ในปี 2022 ผลิตภัณฑ์และโครงการต่าง ๆ ของ Google ได้ทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศกว่า 250,000 ตำแหน่ง และสร้างมูลค่าแก่ภาคธุรกิจไทยถึง 4.3 พันล้านดอลลลาร์ (หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท)


3. Super Positive Surprise !!! นักท่องเที่ยวจีน ปัจจัยด้านการท่องเที่ยวสด ๆ ร้อน ๆ หลังโควิดจบ แม้นักท่องเที่ยวจีนไม่ได้มาเที่ยวไทยกันเยอะเหมือนเก่า แต่ล่าสุดเปิดมาปีใหม่ "เศรษฐา" เผยว่ามีการเจรจายกเว้นวีซ่าแบบถาวรทั้งการเดินทางไปและเดินทางกลับ ดีเดย์ 1 มี.ค. นี้ แปลว่าเป็นโอกาสที่จะดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมานับล้านหากการเดินทางสะดวกขึ้น ก็น่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไม่ต้องสงสัย


หุ้นไทยที่ผ่านมาถูกปรับลดประมาณการกำไรต่อเนื่อง แต่ผมเชื่อว่า "Positive Surprise" ที่เล่าไปในข้างต้นน่าจะทำให้นักวิเคราะห์ไทยเทศ น่าจะมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรเกิดขึั้น ซึ่งสิ่งนี้ล่ะคือ catalyst อย่างดีของตลาดหุ้น


อีกทั้ง ดัชนี SET มีการคาดการณ์ EPS Growth ที่ 18 และ 13% ใน 2 ปีข้างหน้าโดย EPS ปี 2024 อยู่ที่ 97 ถ้าเราเอาไปคูณกับค่าเฉลี่ย P/E ที่ 15.3 เท่า ก็จะได้ target SET ที่ 1,487 บวกจากตรงนี้ประมาณ 50 กว่าจุด และส่วนสตัวผมมองว่าเจ้า Earning ในปีนี้มีโอกาสจะได้รับการปรับเพิ่มประมาณการบ้างหลังจากไม่ได้เห็นมาหลายปี ขณะที่ Dividend Yield ที่ประมาณ 3.4% เมื่อเทียบกับดอกเบี้ย (Yield Gap) แล้วก็ถือว่าใช้ได้


Fund Talk Call จึงแนะนำลงทุนในกองทุน TISCOHD-A ซึ่งเน้นลงทุนใน SET High Dividend 30 Index เป็นหุ้นขนาดใหญ่เฉลี่ย Market Cap ต่อหุ้นประมาณแสนล้าน และกองทุนมี P/E ต่ำกว่าดัชนี SET ซึ่งน่าจะได้รับอานิสงส์หากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศกลับมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และส่วนที่ผมชอบที่สุดคือ เจ้าดัชนี SETHD นี้มี Dividend Yield สูงถึง 6.5% !!! สูงมาก ๆ และน่าจะได้รับอานิสงส์แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในอนาคต !!!


TISCOHD-A

กองทุน TISCOHD-A เป็นกองทุนความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ ที่อยู่ในดัชนี SET High Dividend 30 Total Return Index ที่มีกำไรและปันผลสม่ำเสมออีกทั้งมีการเติบโ๖ของปันผล ทั้งอดีตและอนาคต โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom-up


Fund Talk Call แนะนำโอกาสการลงทุนสไตล์ชาวสวน (The Contrarian Investor) อีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงมาลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพในการเติบโตระยะยาวยังดี ประกอบกับลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้เรามีโอกาสได้เข้าลงทุน ในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล

อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team

ขาย

SCBCOMP ถึงจุด Take Profit พร้อมหมุนเงินเข้าลงทุนต่อในหุ้นยุโรป-หุ้นอินเดีย

Mr.Messenger ได้ออกคำแนะนำ Mr.Messenger Call: เก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ หลังมี momentum เชิงบวก เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2024 หลังจากแนะนำราคา DJP ETN ซึ่งเป็น ETN ที่ Track กับ Bloomberg Commodity Index Total Return ปรับตัวเพิ่มขึ้น +7% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน) ขณะที่กองทุน SCBCOMP +4.2% หลังจากแนะนำเข้าลงทุน (NAV ล่าสุด ณ วันที่ 3 เมษายน) 

ทำให้ล่าสุดการปรับตัวขึ้นของ DJP ETN ถึงระดับทำกำไรแล้ว Mr.Messenger จึงแนะนำ take profit กองทุน SCBCOMP สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนตามคำแนะนำ พร้อมหาโอกาสการลงทุนใหม่ตามคำแนะนำ ดังนี้


อ่านมุมมองจาก Finnomena Investment Team