Samsung ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างผลิตภัณฑ์ล้ำๆ มากมาย โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนอย่าง Galaxy ที่คนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง สูสีกันกับ iPhone ของ Apple เลยทีเดียว ล่าสุดก็เพิ่งปล่อย Galaxy Note 9 สมาร์ตโฟนจอใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดไป สร้างความตื่นตาตื่นใจไปทั่ว ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ

ทว่าตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ตโฟนโลกของ Samsung กำลังสั่นคลอนอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งจากจีนที่เริ่มแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หรือ ความสามารถในการผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งทาง Samsung ก็ยอมรับเลยว่า ‘ยาก’ ที่จะหาของใหม่ๆ มานำเสนอในทุกๆ ปี วันนี้จะชวนมาดูเหตุผลต่างๆ ที่ Samsung อาจไม่รุ่งโรจน์อีกต่อไป

1. Huawei กับการก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ตโฟนโลก

ก่อนหน้านี้ หากบอกว่ามือถือจากจีนจะสามารถโค่นล้ม iPhone ได้ คงไม่มีใครอยากเชื่อนัก แต่มันก็เป็นไปแล้ว… เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รายงานจากหลายๆ สำนักได้ระบุว่า Huawei แบรนด์สมาร์ตโฟนจากเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ได้แซงหน้า Apple ขึ้นเป็นอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ตโฟนของโลก เมื่อไตรมาสที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่า Samsung จะยังเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสมาร์ตโฟนโลกด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% แต่ Samsung ก็สารภาพเลยว่าแอบร้อนๆ หนาวๆ กับคู่แข่งที่กำลังตีชิดเข้ามาเหมือนกัน

2. Samsung เสียส่วนแบ่งตลาดในประเทศจีนให้กับสมาร์ตโฟนจีนแล้ว

แม้ว่าในตลาดโลก Samsung จะยังเป็นอันดับ 1 แต่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มูลค่าตลาดสมาร์ตโฟนใหญ่ที่สุดนั้น Samsung มีส่วนแบ่งเหลือแค่ 1% เท่านั้นในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีส่วนแบ่ง 15% ในตลาดสมาร์ตโฟนจีนเมื่อ 4 ปีก่อน ผู้ชนะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเจ้าถิ่นอย่าง Huawei, Oppo, Vivo และ Xiaomi ซึ่งพอรวมกันแล้วมีส่วนแบ่งปาไปกว่า 76% แล้ว ในขณะที่ Apple มีส่วนแบ่งเพียง 9% เท่านั้นเอง ล่าสุด Samsung ต้องลดการผลิตในเมืองจีนลงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลง ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโดยรวมด้วย

3. Xiaomi ใกล้จะแซง Samsung ในตลาดสมาร์ตโฟนอินเดียแล้ว

ตลาดสมาร์ตโฟนในอินเดียนั้นใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจากจีน ล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ส่วนแบ่งสมาร์ตโฟนของ Samsung อยู่ที่ 29% แม้ว่าจะยังเป็นอันดับหนึ่ง แต่ Xiaomi จากจีนกำลังตามมาติดๆ กับส่วนแบ่งที่ 28% เรียกว่าเฉียดฉิวมากๆ Xiaomi ถือเป็นคู่แข่งในตลาดอินเดียที่ประมาทไม่ได้เลย เพราะก่อนหน้านั้น ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2017 Xiaomi เคยชนะ Samsung ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดอินเดียมาแล้ว

4. Samsung โดนกระแสวิจารณ์ว่าพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ได้ช้าลง

กระแสล่าสุดจากการเปิดตัว Note 9 มีคละกันไปทั้งดีทั้งร้าย ในแง่ดีคือผู้ใช้มองว่าโดยรวมแล้ว Note 9 มีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่ดีขึ้นมาหากนับจากโมเดลรุ่นแรกๆ นอกจากนี้ดีไซน์ก็ดูดีขึ้นด้วย แต่ผู้ใช้และสำนักข่าวบางแห่งก็ได้วิจารณ์ว่า Note 9 นั้นไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆ เลย นำไปสู่ข้อสรุปว่า Samsung เริ่มจะพัฒนานวัตกรรมได้ช้าลงแล้ว แม้แต่คู่แข่งอย่าง Huawei ยังได้ทวีตข้อความแซวใน Twitter ว่ามือถือรุ่นใหม่ของ Huawei นั้นจะได้รับการ ‘อัปเกรดจริงๆ’ เหมือนกำลังจะกัดจิกว่ามือถือใหม่ของ Samsung นั้นแทบไม่ได้อัปเกรดอะไรมากมายเลย

5. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อาจไม่ช่วย Samsung อีกต่อไป (รึเปล่า)

เนื่องจาก Samsung ทำธุรกิจแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงทำให้มีสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์คือเครื่องจักรที่สร้างรายได้ให้ Samsung มากที่สุด ถือเป็นธุรกิจที่มาช่วยพยุง Samsung จากธุรกิจสมาร์ตโฟนที่ถดถอยลง เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ธุรกิจนี้สร้างรายได้เป็นสัดส่วน 37% ให้ Samsung แต่สามารถสร้างกำไรได้เป็นสัดส่วนถึง 78% ของกำไรทั้งหมดเลยทีเดียว ข้อดีของธุรกิจนี้คือเป็นธุรกิจที่มีอุปสงค์สูง แต่มีอุปทานจำกัด ทำให้ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาสูง เพิ่มส่วนต่างด้านราคาให้ตัวเองได้ ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยสนับสนุน Samsung มาตลอด ทว่านักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เริ่มแสดงท่าทีกังวลต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แล้ว พวกเขาชี้ให้เห็นว่าตอนนี้มีสินค้าคงคลังเหลืออยู่มาก จึงอาจทำให้บริษัทไม่สามารถตั้งราคาสูงในอนาคตได้ และทำให้อุตสาหกรรมไม่เติบโตเท่าที่ควร ถึงอย่างนั้นล่าสุด Samsung ก็ยังไม่แสดงท่าทีกังวลเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นยังคาดหวังว่าธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์จะสร้างรายได้สูงขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงขายดีของเซมิคอนดักเตอร์

6. หุ้น Samsung เป็นหนึ่งในหุ้นเทคที่ร่วงเยอะที่สุดในปีนี้

ปีที่แล้วหุ้นเทคเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ระส่ำระส่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามการค้า หรือ ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ Facebook โดนผลกระทบไปเต็มๆ แต่เอาเข้าจริง หากนับตั้งแต่ต้นปี หุ้นเทคอเมริกันก็ยังเอาชนะหุ้นเทคส่วนใหญ่จากเอเชียได้ เช่น Amazon ที่มูลค่าขึ้น 61% หรือ Apple ที่มูลค่าขึ้นกว่า 22% พอหันไปทางด้านเอเชีย หุ้น Tencent ร่วงลง 9% ส่วน Baidu ร่วงลง 6% มีเพียงแค่ Alibaba ที่ยังสามารถขึ้น 4% ได้ ส่วน Samsung นั้นหนักกว่าเพื่อนเพราะหุ้นร่วงถึง 11%

ฟังๆ ดูแล้ว เหมือนจะมีแต่ข้อมูลด้านลบ แต่จริงๆ แล้ว Samsung ก็ยังมีส่วนที่ดี พอให้ลุ้นการเติบโตได้อยู่บ้าง เช่น

– ถึงหุ้น Samsung จะร่วงถึง 11% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ นักวิเคราะห์จากหลายๆ สถาบันก็ยังมองว่า Samsung มีแนวโน้มที่ดีอันเนื่องมาจากการคาดการณ์รายได้และผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างเป็นบวก หากมองกันในระยะสั้นที่ไตรมาสหน้า Samsung คาดหวังว่ากำไรจากการดำเนินงานจะพุ่งขึ้น 21% เป็น 17.58 ล้านล้านวอน (~5 แสนล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งถ้าหากทำได้ จะกลายเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดสำหรับไตรมาสเลยทีเดียว

Samsung ยังถือเป็นบริษัทเทคแนวหน้าของโลก ด้วยมูลค่าตลาดถึง 284.1 ล้านล้านวอน (~8 ล้านล้านบาท) ณ วันที่ 16 สิงหาคม ตัวบริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดรวมกันเป็นมูลค่า 31.4 ล้านล้านวอน (~9 แสนล้านบาท)

 Samsung วางแผนว่าช่วง 3 ปีข้างหน้าจะลงทุน 180 ล้านล้านวอน (~5 ล้านล้านบาท) เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ และ หน้าจอ และเนื่องด้วยรองประธานอย่าง Lee Jae Yong สนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางยานยนต์ และยาชีวเภสัชภัณฑ์ เงินส่วน 25 ล้านล้านวอน (~7 แสนล้านบาท) จะนำไปลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี 5G และยาชีวเภสัชภัณฑ์ด้วย ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยีเจ๋งๆ จาก Samsung ในเร็วๆ นี้

– ในแง่ของมูลค่าแบรนด์ Samsung อยู่ที่อันดับ 6 จากการจัดอันดับของ Interbrand’s Best Global Brands ในปี 2017 แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ Samsung ก็ยังเป็นที่นิยมในสายตาผู้บริโภคอยู่ โดยอันดับหนึ่งและสองคือ Apple และ Google ตามลำดับ

Samsung ยังสามารถขายในตลาดอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ตโฟนที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลกได้ แม้ว่าจะเป็นรองคู่แข่งเจ้าถิ่นอย่าง Apple ซึ่งเป็นที่ 1 อยู่ก็ตาม แต่คู่แข่งจากจีนนั้นไม่สามารถเจาะเข้าตลาดสหรัฐฯ ได้ อันเนื่องมาจากมาตรการปิดกั้นของสหรัฐฯ ต่อสมาร์ตโฟนจีน ในไตรมาสที่ 1 ตลาดสหรัฐฯ สร้างรายได้ให้ Samsung ประมาณ 10.9% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้ใช้หลายๆ คนก็รู้สึกว่า Samsung มีโทรศัพท์ที่ล้ำกว่า Apple ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและความเข้าใจในผู้ใช้ จึงไม่แน่ว่าในอนาคตอาจครองใจผู้ใช้ชาวอเมริกันมากขึ้น

นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า Samsung จะปล่อยมือถือพับได้ในปีหน้าเพื่อเฉลิมฉลองโมเดลรุ่นที่ 10 ของ Galaxy S series ซึ่งออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อมิถุนายน 2010 โดย CEO Koh Dong Jin ใฝ่ฝันว่าอยากทำมือถือพับได้มานานแล้ว หากทำได้ก็จะถือว่าเป็นอีกนวัตกรรมที่โดดเด่น ทว่าก็ต้องระวังคู่แข่งอย่าง Huawei ที่มีแผนจะทำมือถือพับได้เช่นกัน

อนาคตของ Samsung จะเป็นยังไงเราคงต้องลุ้นกันต่อไป ที่แน่ๆ คือหาก Samsung ไม่รุ่งอีกต่อไป ก็เป็นไปได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศเกาหลีใต้ค่อนข้างเยอะ เพราะ Samsung สร้างรายได้ให้เกาหลีใต้อย่างมาก ในปี 2017 บริษัทได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปถึง 14 ล้านล้านวอน (~4 แสนล้านบาท) นับเป็น 23.6% ของรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดของเกาหลีใต้เลยทีเดียว ก็ต้องลุ้นให้ Samsung สามารถสร้างนวัตกรรมล้ำๆ ที่ชนะใจคนได้ เพื่อคงตำแหน่งบริษัทเทคแนวหน้าของโลกต่อไป v(- -v)

Source:
https://www.beartai.com/news/mobilenews/269859

https://asia.nikkei.com/Business/Company-in-focus/Samsung-s-Galaxy-empire-in-crisis
https://asia.nikkei.com/Business/Business-Trends/Samsung-s-hopes-for-reviving-Galaxy-in-China-are-under-threat
https://www.cnbc.com/2018/08/13/samsung-shares-39-billion-wiped-off-this-year.html
https://newzoo.com/insights/rankings/top-50-countries-by-smartphone-penetration-and-users/

ที่มาบทความ: https://thezepiaworld.com/2018/09/14/samsung-crisis/