บล.เอเซียพลัส ระบุว่าการเปิดเผยแผนการปรับโครงสร้างภาษีอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีทรัมป์ หลังจากตลาดรอมานานนับจากชนะเลือกตั้งปลายปี 2559 แต่โครงสร้างภาษีใหม่ก็ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย กล่าวคือ เสนอให้ลดภาษีนิติบุคล หรือภาษีบริษัทเหลือ 20% จากเดิม 35% (เท่ากับลดลง 15% ซึ่งยังน้อยกว่าที่เสนอตอนหาเสียงที่ต้องการลดเหลือ 15% (ลดลง 20%))

ส่วนภาษีบุคคลธรรมดาเสนอลดอัตราการจ่ายภาษีเหลือ 3 ขั้นจาก 7 ขั้นบันได คือ ลดอัตราภาษีสูงสุดจากเดิม 39.6% ลงมาเหลือสูงสุด 35% โดยโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ ดังนี้ 12%, 25%, 35% ตามลำดับ ขึ้นกับฐานรายได้ภาษีของแต่ละคน ทั้งนี้หากมาตรการปฎิรูปภาษีผลักดันให้ออกมาเป็นกฎหมายได้ เชื่อว่าจะช่วยหนุน ทั้งภาคธุรกิจ และการจ้างงาน ซึ่งน่าจะช่วยลดอัตราการว่างงานลงได้อีก จาก ปัจจุบันแกว่งตัวอยู่ที่ 4.3-4.4% ซึ่งระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี และน่าจะเป็นระดับที่ถือว่ามีการจ้างงานเต็มที่และกระตุ้นภาคครัวเรือนเพราะภาษีที่ลดลงจูงใจผู้คนเข้ามาการทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะสร้างภาระ งบประมาณขาดดุลและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่สามารถสร้างรายได้ทางภาษีกลับมา ซึ่งจะกลับมากดดันค่าเงินในที่สุด

การผลักดันให้เกิดผลอย่างรูปธรรมน่าจะหนุนตลาดหุ้นสหรัฐได้อีกระยะหนึ่ง แต่ทั้งหมดต้องขึ้นกับวุฒิสภาจะผลักดันให้ออกมาเป็นกฎหมายหรือไม่ หุ้นไทยที่ได้ประโยชน์จากการปรับลดภาษีนิติบุคคลของสหรัฐ ดังกล่าว ได้แก่หุ้นอินโดรามา (IVL), ไทยยูเนี่ยน (TU) และหุ้นซีพีเอฟ (CPF) โดย IVL จะได้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ปัจจุบันอยู่สูงถึง 38% ลงเหลือ 15% ส่งผลให้กำไรปี 2560 และ 2561 เพิ่มขึ้นจากเดิม 6.4% และ 8.3% ตามลำดับ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตในสหรัฐราว 2.2 ล้านตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 20% ของกำลังการผลิตรวม และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ล้านตันต่อปี ในปี 2561 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 24% ของกำลังการผลิตรวม

หุ้น TU ได้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ลดลงเช่นกัน ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปี 2560-61 เพิ่มขึ้น 3.0% และ 2.8% จากเดิม ตามลำดับ โดย มีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯ ประกอบด้วย ธุรกิจจำหน่ายทูน่ากระป๋องภายใต้แบรนด์ Chicken of the sea รวมไปถึงธุรกิจซื้อมา-ขายไปกุ้ง (Trading) และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

CPF ได้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ลดลงเช่นกันแต่ไม่มากนัก โดยกำไรสุทธิปี 2560-61 เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และ 0.3% ตามลำดับ โดยมีธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ Bellisio อยู่ในสหรัฐ เชื่อว่าทั้ง 3 หุ้น น่าจะได้รับ sentiment เชิงบวก

Source : กรุงเทพธุรกิจ

ที่มา : http://daily.bangkokbiznews.com/detail/310489