7 ข้อคิดจากหนังสือ The Psychology of Money : จิตวิทยาว่าด้วยเงิน

1. ไม่มีใครเป็นคนบ้า

“ผู้คนทำเรื่องบ้า ๆ กับเงินมากมาย แต่ไม่มีใครเป็นคนบ้า” ผู้คนจากต่างยุคสมัย ถูกเลี้ยงมาโดยครอบครัวที่ต่างกัน รายได้แตกต่างกัน ยึดถือคุณค่าต่างกัน เกิดมาในระบบเศรษฐกิจที่แตกต่าง มีประสบการณ์ในตลาดแรงงานที่แตกต่าง ซึ่งมาพร้อมกับสิ่งจูงใจที่แตกต่าง เรียนรู้บทเรียนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

2. มีหลายสิ่งที่ไม่ควรค่าแก่การเสี่ยง

สิ่งที่ดีที่สุดในการรักษาชื่อเสียง อิสรภาพ ครอบครัว ความรัก และความสุข คือ การรู้ว่าเมื่อไรที่คุณจะต้องหยุดรับความเสี่ยง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งเหล่านี้ มันคือการรู้ว่าเมื่อไรที่คุณมี “พอ” แล้ว

3. การเริ่มต้นเล็ก ๆ

การเริ่มต้นเล็ก ๆ สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ มันอาจเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับตรรกะของคุณ จนคุณไม่เข้าใจว่าการเติบโตนั้นมาจากไหน มันสามารถนำไปสู่อะไรได้บ้าง และประเมินสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ต่ำจนเกินไป เช่นเดียวกันกับเรื่องเงิน

4. คุณค่าสำคัญที่สุดของการมีเงิน คือการได้เป็นนายของเวลา

แม้เราจะได้ทำงานที่ตัวเองรักแต่หากเราไม่สามารถควบคุมเวลาตัวเองได้เลย ก็ทำให้เราทุกข์ใจได้เหมือนกัน ส่วนสิ่งของต่าง ๆ แม้ว่าจะเป็นของแพงดีมีคุณภาพมากแค่ไหน พอได้เป็นเจ้าของสุดท้ายเราก็เบื่อ แต่การได้เป็นนายของเวลา และการที่เราสามารถเลือกได้เสมอว่าจะทำอะไร กับใคร เมื่อไร นั่นคือสิ่งที่เราจะไม่มีวันเบื่อ

5. การสร้างความร่ำรวย และรักษาความร่ำรวย ใช้ทักษะที่ต่างกัน

คนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้นั้นมักจะเป็นเพราะเขา “กล้าได้กล้าเสีย” จนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่เมื่อมีเงินทองแล้ว การจะรักษาเงินทองให้อยู่ได้ต่อไปนั้นจำเป็นต้องมีอีกทักษะหนึ่งซึ่งแทบจะตรงข้ามกัน นั่นคือความระมัดระวังและความคิดหน้าคิดหลัง

6. คนที่อยู่ในตลาดอาจกำลังเล่นคนละเกมกับเรา

แต่ละคนเข้ามาในตลาดด้วยเหตุผลที่ต่างกัน สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่ไป “จับสัญญาณผิด ๆ” ที่มาจากนักลงทุนที่มีเป้าหมายต่างจากเรา ไม่อย่างนั้นเวลาเราเห็นหุ้นราคาขึ้นเราอาจจะนึกว่าคนอื่นรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ แล้วตามไปซื้อบ้าง เพียงเพื่อจะเห็นราคาร่วงในวันถัดมาเพราะคนที่เล่นคนละเกมกับเราเขาเทขาย

7. ปัจจัยสำคัญที่สุดในการลงทุนคือ “เวลา” ที่เราอยู่ในตลาด

95% ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของ Warren Buffett นั้นเพิ่งงอกเงยหลังจากบัฟเฟตต์พ้นวัยเกษียณมาแล้ว มีนักลงทุนหลายคนที่ทำผลตอบแทนปีต่อปีสูงกว่า Buffett เสียอีก แต่เขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าบัฟเฟต์เพราะไม่ได้ลงทุนมานานเท่า ดังนั้นผลตอบแทนต่อปีจะมากแค่ไหน จึงอาจไม่สำคัญเท่าเราอยู่ในตลาดยาวนานแค่ไหน

บทความโดย คุณานันต์ TechToro

iran-israel-war