News Update: หุ้นจีนยังน่าสนใจระยะยาว บลจ.กรุงศรี และ UBS มองแรงขายเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น เปิดมุมมองผู้จัดการกองทุน KFACHINA-A และ KFCMEGA-A

เปิดมุมมองผู้จัดการกองทุนหุ้นจีน UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity ผู้จัดการกองทุนหลักของ KFACHINA-A และมุมมองของผู้จัดการกองทุน KFCMEGA-A จาก บลจ.กรุงศรี

ตลาดหุ้นจีนกำลังเผชิญความผันผวนสูง หลังภาครัฐออกมาจัดระเบียบในหลายอุตสาหกรรม โดยราคาของหุ้นจีนที่ปรับตัวลง ส่งผลกระทบต่อกองทุนหุ้นจีน KFACHINA-A และ KFCMEGA-A ดังนี้

🇨🇳  KFACHINA-A กระทบจากมาตรการควบคุมสุรา บุหรี่ไฟฟ้า และยาเพิ่มฮอร์โมน

KFACHINA-A ลงทุนในกองทุนหลัก UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity (USD) (Class P – acc) 

สื่อจีนรายงานถึงผลเสียต่อสังคมของ สุราจีน บุหรี่ไฟฟ้า และยาเพิ่มฮอร์โมน โดยอ้างถึงความกังวลต่อการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจากการดื่มสุรา และผลเสียต่อเยาวชนจากการใช้ยาเพิ่มฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นความสูง ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวจะเป็นเป้าหมายต่อไปของรัฐบาลจีนในการกำหนดมาตรการ

ประเด็นดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้นบริษัทสุราจีนและบุหรี่ไฟฟ้ามีความผันผวนปานกลาง ขณะที่บริษัทยาเพิ่มฮอร์โมนปรับตัวลงแรง ณ วันที่ 5 ส.ค. 64 ซึ่งเป็นวันที่มีข่าว

เนื่องจากสื่อจีนนำเสนอเพียงผลเสียของการดื่มสุราที่อาจนำไปสู่โรงมะเร็งได้ จึงยังไม่มีความชัดเจนถึงมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมาควบคุมอุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดของ Kweichow Moutai และ Wuliangye Yibin เป็นตลาดระดับบน ซึ่งมีปริมาณสินค้าต่อปีจำกัด และผู้ผลิตมีความสามารถในการขึ้นราคา ส่งผลให้ความเสี่ยงจากมาตรการข้างต้นมีผลจำกัดต่อตัวบริษัท

📌  มุมมองผู้จัดการกองทุนหลักจาก UBS

กองทุนหลัก UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity มีสัดส่วนการลงทุนใน Kweichow Moutai 9.4% และ Wuliangye Yibin 9.7% ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 64

ผู้จัดการกองทุนหลักยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนใน Kweichow Moutai และ Wuliangye Yibin เนื่องจากเป็นผู้ผลิตสุราจีนพรีเมี่ยม ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

ในระยะสั้น ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลเรื่องการจัดระเบียบของรัฐบาล อย่างไรก็ดี กองทุนหลักเชื่อว่าในระยะยาว บริษัทที่มีคุณภาพสูงจะมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีคุณภาพสูง หรือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ซึ่งเมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปแล้ว จะมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง

กองทุนหลักมองว่า มาตรการที่เข้มงวดจนทำลายธุรกิจที่เกิดขึ้นในธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา จะไม่ลุกลามไปสู่อุตสาหกรรมอื่น

📌  การปรับพอร์ตของกองทุนหลัก KFACHINA-A ในช่วงที่ผ่านมา

ช่วงที่ตลาดจีนเจอแรงกดดันจากเรื่องการควบคุมในหลายอุตสาหกรรม กองทุนหลักได้มีการลดสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบและเพิ่มการลงทุนในหุ้นที่ยังคงมีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตในอนาคต

สำหรับ Healthcare Sector ได้เพิ่มการลงทุนใน Clinical Research Organization หรือกลุ่มการวิจัยและพัฒนายามากขึ้น เนื่องจากการทำวิจัยที่จีนมีต้นทุนที่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ

เพิ่มการลงทุนในกลุ่ม IT hardware ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่ม IT ที่เป็น Software โดยลงทุนในหุ้นอย่าง Luxshare Precision ที่ผลิตชิ้นส่วนให้ Apple และเริ่มการลงทุนในหุ้นบริษัทที่เป็นผู้ผลิต Battery ให้กับรถ EV

เพิ่มการลงทุนในหุ้น Cement ในประเทศโดยมองว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของจีน อีกส่วนที่กองทุนหลักสนใจคือกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกองทุนหลักจะเน้นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ 

📌  ผู้จัดการกองทุนยังคงแนะนำลงทุนในกองทุน KFACHINA-A

เนื่องจากแรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน เป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น สะท้อนถึงโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ราคาไม่แพง

ความผันผวนของตลาดในช่วงก่อนหน้าในกลุ่มโรงเรียนกวดวิชาส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มโรงเรียนกวดวิชาได้รับผลกระทบทางลบโดยตรงและไม่น่าลงทุน ทว่ากองทุน KFACHINA-A ไม่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 64

การที่รัฐบาลจีนจัดระเบียบและลดการผูกขาดไม่ให้บริษัทขนาดใหญ่เอาเปรียบบริษัทขนาดเล็กและพนักงาน จะนำไปสู่คำสั่งปรับ และบริษัทเหล่านี้ต้องปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ยังสามารถเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจจากตลาดที่ใหญ่และมีการเติบโตสูง คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Facebook, Amazon, Apple และ Google

คาดว่าในระยะเวลา 1-3 เดือน ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความผันผวนสูง แม้เริ่มฟื้นตัวหลังหน่วยงานภาครัฐออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ในระยะกลางถึงยาวหลังจากตลาดคลายความกังวล ระดับราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามศักยภาพการเติบโตของเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นในจีน เช่น Premiumization หรือการเติบโตของรายได้นำมาสู่รูปแบบการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป การเติบโตของประชากรสูงอายุ และนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี เป็นต้น

🇨🇳  KFCMEGA-A ปรับตัวลดลง เผชิญแรงกดดันจากมาตรการของรัฐ

KFCMEGA-A ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวม ETF ต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนในประเทศจีน และ/หรือมีธุรกิจหลักหรือมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการประกอบธุรกิจในประเทศจีน ซึ่งมีกองทุนหลัก ได้แก่

1. Global X MSCI China Consumer Discretionary ETF (Fund Ticker: CHIQ)
2. Invesco China Technology ETF (Fund Ticker: CQQQ)
3. KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF (Fund Ticker: KGRN)

อัตราส่วนราคาต่อกำไรในอนาคต (Forward P/E) ของดัชนี MSCI China All Shares ลงมาอยู่ที่ 15.2 เท่า ถือเป็นระดับราคาที่ไม่สูง โดยหุ้น Top 10 ของกองทุน KFCMEGA-A มี Upside ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย (Target Price) และ Goldman Sachs ยังคาดการณ์กำไรของดัชนี MSCI China ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 20% ในปี 2021 และเติบโตเพิ่มขึ้น 13% ในปี 2022 สะท้อนว่าในระยะกลาง กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน

📌  ผู้จัดการกองทุนมองว่าแรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน เป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น

สะท้อนถึงโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ราคาไม่สูงมากนัก และคาดว่าในระยะเวลา 1-3 เดือน ตลาดหุ้นจีนยังคงเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ในระยะกลางถึงยาว ระดับราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามศักยภาพการเติบโตของเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นในจีน ยังคงแนะนำกองทุน KFCMEGA-A ที่เน้นลงทุนในเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอยและการเติบโตของ E-Commerce ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สังคมผู้สูงอายุ และพลังงานสะอาด

อ้างอิง: Flash Update by Krungsri Asset

——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน