เจาะหุ้นไทย “เดือนพ.ย.” กับ 3 เหตุการณ์ชี้ชะตาลงทุนทั่วโลก

เข้าสู่ช่วงเกือบโค้งสุดท้ายของปี 2561 ในเดือน “พ.ย.” นี้ หลายคนยังคงเฝ้ารอว่าตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยบวก ผลักดันให้ดัชนีทะยานขึ้นเพื่อเรียกคืนผลตอบแทนได้อีกมากน้อยแค่ไหน และตลาดหุ้นโลกมีปัจจัยอะไรที่รออยู่ข้างหน้า เราจะหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน

อันดับแรกคงต้องทบทวนเรื่องราวของตลาดหุ้นไทย “เดือน ต.ค.” ที่ผ่านมาก่อน

ซึ่งโดยภาพรวมจะพบได้ว่า ได้มีการปรับตัวลดลงถึง 5% โดยมีสาเหตุมาจากความผันผวนของทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ถูกแรงเทขายอย่างหนัก ทั้งนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่พุ่งขึ้นจนไปแตะระดับ 3.24% ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี หลังจากที่นักลงทุนยังมีความกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีสัญญาณเร่งตัวขึ้น ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์ที่เปิดเผยตัวเลขส่งออกไทยในเดือน ก.ย. ก็พบว่ามีการพลิกติดลบ 5.2% YoY ครั้งแรกในรอบ 19 เดือน (ซึ่งผิดจากที่สำนักวิจัยทิสโก้และตลาดคาดการณ์ไว้ที่บวกราว 5–6%) ดังนั้นด้วยปัจจัยลบทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงสร้างความกังวลต่อผลกระทบของสงครามการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในเดือน ต.ค. เท่านั้น เพราะหากประเมินในแง่ของภาพรวมปี 2561 จะพบได้ว่าเป็นปีที่ไม่ดีสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก เห็นได้จากผลตอบแทน (อิงจาก MSCI World Index และข้อมูล ณ 30 ต.ค.) ที่ติดลบ 6.8% (YTD) เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่ (EM) ทั่วโลก และในภูมิภาคนี้ที่ติดลบเฉลี่ย 19.2% และ 19.9% ตามลำดับ

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองก็ติดลบประมาณ 6% ซึ่งแม้จะไม่ดีนัก แต่ก็ยังเหนือกว่าตลาดเกิดใหม่และตลาดอื่นในภูมิภาค นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น (Outperform) เทียบเท่ากับตลาดพัฒนาแล้ว (DM) ที่ปรับตัวลงเฉลี่ยประมาณ 6%

ลงทุนหุ้นไทยเดือนพ.ย.

ในช่วงปลายปี (พ.ย.-ธ.ค.) 2561 ยังคงมองว่าฤดูกาลลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะยังทำให้มีเงินไหลเข้าอยู่ ขณะเดียวกันแนวโน้มการเลือกตั้งปี 2562 จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญภายในประเทศที่ช่วยต้านทานมรสุมจากภายนอกด้วย

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการปรับตัวลงอย่างรวดเร็วของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ยังทำให้ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นมีความน่าสนใจ ในปี 2562 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว รวมถึงการจัดงาน SET in the City ระหว่างวันที่ 15–18 พ.ย. นี้ น่าจะกระตุ้นให้เม็ดเงิน LTFRMF ไหลเข้ามากขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ และจะไหลเข้ามากที่สุดในเดือน ธ.ค. (อิงสถิติในอดีต ช่วงไตรมาส 4 จะไหลเข้าเดือน ต.ค.,พ.ย. และ ธ.ค. ในสัดส่วน 8.2%,17.5% และ 74.3% ตามลำดับ)

ดังนั้น โดยสรุปจึงยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 3–6 เดือนข้างหน้า จากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก โดยประเมินว่าหุ้นที่น่าจะ Outperform ควรมีคุณสมบัติเด่น 3 ประการ คือ

(1) เป็นหุ้นที่งบไตรมาส 3 คาดว่าจะออกมาดีแบบก้าวกระโดด เนื่องจากเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นเฉพาะตัวในช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ

(2) มีปันผลสูงช่วยรองรับความเสี่ยงราคาหุ้นขาลง

(3) ฐานราคาหุ้นค่อนข้างต่ำ ซึ่งสะท้อนว่าโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงแรงมีค่อนข้างน้อย และโอกาสในการปรับตัวขึ้นมีมากกว่า

3 เหตุการณ์ชี้ชะตาหุ้นโลก

ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ (พ.ย.-ธ.ค.) แนะนำติดตาม 3 เหตุการณ์สำคัญที่จะชี้ชะตาหุ้นโลกว่าจะฟื้นหรือฟุบ ได้แก่

(1) การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯในวันที่ 6 พ.ย. โดยท่าทีที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีทรัมป์จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่หลังการเลือกตั้งกลางเทอม

(2) การประชุม G20 ในวันที่ 30 พ.ย. — 1 ธ.ค. จะช่วยให้สถานการณ์สงครามการค้าผ่อนคลายลงหรือไม่

(3) การประชุม FED ในวันที่ 18–19 ธ.ค. แม้คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยแต่จะปรับเส้นทางการขึ้นดอกเบี้ย (Dot Plot) ในอนาคตหรือไม่ เนื่องจาก Dot Plot เดิมในการประชุมเดือน ก.ย. ยังมีแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก (Hawkish) ซึ่งยังไม่สะท้อนความเสี่ยงสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้น ความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา และแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่วิจารณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ FED ว่าเร็วเกินไป

ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในเดือน พ.ย.จึงน่าจะยังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีได้จากปัจจัยภายในประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระแวดระวังปัจจัยลบจากต่างประเทศที่อาจเข้ามากระทบด้วย

ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/tiscomastery/