เกร็ดความรู้ หุ้น New Economy กับ Old Economy ต่างกันอย่างไร?
หากพูดถึงการแบ่งกลุ่มของหุ้น หลายคนก็คงจะนึกถึงการแบ่งกลุ่มโดยใช้ดัชนีหุ้น เช่น NASDAQ, S&P500, A-Share, H-share เป็นต้น หรือบางคนก็อาจจะแบ่งตามธีมการลงทุน เช่น ธีมหุ้นเทคโนโลยี, ธีมหุ้น Healthcare
แต่!! ก็ยังมีการแบ่งกลุ่มหุ้นอีกแบบที่น่าจะคุ้นหูกันมาบ้าง ก็คือ หุ้น New Economy กับ หุ้น Old Economy

หุ้น New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่

เป็นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการต่อชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้น Technology ที่มีนวัตกรรมหรือมีการเติบโตตาม Megatrend ของโลก

ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม New Economy

  • ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple และ Nvidia เป็นต้น (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในดัชนี NASDAQ)
  • ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Baidu, Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง)

จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ได้กล่าวไปด้านบนล้วนเป็นหุ้นที่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน Internet, Software และ Hardware

หุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า

เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีมาอย่างยาวนาน ค่อนข้างเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร/ประกัน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง เป็นต้น รวมถึงธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ เหล็ก พลังงาน

ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Old Economy

  • ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, J.P.Morgan, Goldman Sachs, Nike, Coca-Cola
  • ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Bank of China, ICBC, AIA, HSBC Holdings, Ping An (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาด H-Share)
และแน่นอนว่าหุ้นตัวใหญ่ใน SET บ้านเราก็อยู่กลุ่มนี้
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม New Economy จะเติบโตได้ดีกว่า Old Economy สาเหตุมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งนำมาใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดไวรัส ทำให้พฤติกรรมคนเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ยิ่งเร่งให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว
หลายคนอาจรู้สึกว่าหุ้น New Economy ในตอนนี้มีความน่าสนใจมากกว่า แต่จริง ๆ หุ้น Old Economy หลายตัวก็ยังน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะราคาหุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับความสามารถในการสร้างกำไร บางคนจึงเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่าเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock)
ยิ่งในปีนี้ที่หุ้นเทคโนโลยีเกือบทั้งหมดเข้าขั้นว่าแพงมาก เราอาจจะแบ่งสัดส่วนลงทั้งหุ้น New Economy และ Old Economy เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนก็ได้นะ
TopLiner