https://youtu.be/gQsT-HGsTCo


พูดถึงการลงทุนที่ฮิตๆ ส่วนใหญ่คนก็จะพูดถึงหุ้น ไม่ก็กองทุนเป็นอันดับแรกๆ อาจจะเพราะว่าการลงทุนทั้งสองอย่างเข้าถึงง่าย แค่เปิดบัญชี ฝากเงิน ซื้อได้ทันที

แต่เนื่องจากคนพูดถึงข้อดีของหุ้นกันเยอะแล้ว ทั้งเรื่องผลตอบแทนสูง ปันผลงาม มี Success Story ของนักลงทุนมากมายที่ร่ำรวยจากหุ้นตั้งแต่อายุยังน้อย (แต่คนไม่สำเร็จก็เยอะเหมือนกัน)

คราวนี้เลยอยากจะแชร์ในมุมของกองทุนบ้าง ว่าจริงๆ แล้วก็มีหลายเรื่องที่การลงทุนในตลาดหุ้นทำไม่ได้ แต่กองทุนรวมสามารถทำได้ ซึ่งหลายอย่างก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนนั่นแหละครับ และนี่คือ 4 เรื่องที่ “กองทุน” ทำได้ดีกว่า “หุ้น”

1. มีมืออาชีพดูแลให้

เรื่องแรกที่เห็นชัดๆ คือกองทุนรวมทุกกองจะมีมืออาชีพคอยดูแลและบริหารให้ ส่วนตลาดหุ้นเราต้องเลือกหุ้นเองและต้องจับจังหวะเข้าลงทุนเอง

มืออาชีพที่ว่าเป็นใครมาจากไหน? มืออาชีพที่บริหารกองทุนรวมคือ “ผู้จัดการกองทุน” ซึ่งกว่าจะมาเป็นผู้จัดการกองทุนได้ ก็ต้องผ่านการสอบ CFA (Chartered Financial Analyst) หรือ CISA (Certified Investment & Securities Analyst) ซึ่งเป็นคุณวุฒิที่ใช้วัดความรู้การวิเคราะห์การลงทุน ต้องอ่านหนังสือเป็นตั้งๆ กว่าจะสอบผ่าน นอกจากสอบวัดระดับความรู้แล้ว คนที่จะเป็นผู้จัดการกองทุนต้องมีประสบการณ์ด้านการลงทุนในหลักทรัพย์อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป ถึงจะมาบริหารกองทุนให้เราได้

แล้วผู้จัดการกองทุนทำอะไรบ้าง? ทำทุกอย่างครับ ถ้าเป็นกองทุนหุ้น ก็ต้องคัดเลือกหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ต และต้องซื้อในจังหวะเวลาที่ใช่ ต้องมีการไป Company Visit เพื่อพูดคุยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารด้วยตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นบริษัทที่น่าลงทุนจริงๆ ส่วนถ้าเป็นกองทุนตราสารหนี้ ก็ต้องคัดเลือกตราสารหนี้คุณภาพดี มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ และดูแลเรื่องสภาพคล่องให้ดีเพราะสภาพคล่องจะต่ำกว่าหุ้น ถ้ามีการลงทุนในต่างประเทศก็ต้องดูเรื่องความผันผวนของค่าเงินด้วย

สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการจะเป็น Expert ด้านการลงทุนแต่อยากลงทุน กองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะเราได้ผู้เชี่ยวชาญมาดูแลการลงทุนให้เลย และการที่ผู้จัดการกองทุนต้องผ่านการสอบ ผ่านการควบคุมดูแลจาก กลต. ก็ถือเป็นการการันตีระดับหนึ่งว่าเงินของเราได้รับการดูแลจากคนมีฝีมือ และมีความโปร่งใสแน่นอน

2. กระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ

สมมติเราอยากลงทุนหุ้นเทคโนโลยี เราจะเลือกลงตัวไหนดี แต่ละตัวลงในสัดส่วนเท่าไร สมมติเราอยากลงทุน SET50 ทั้งดัชนี ต้องทำยังไง ต้องไปไล่ซื้อเองทุกตัวเลยรึเปล่า

จริงๆ ลงทุนในตลาดหุ้นก็สามารถทำเองได้ (อาจจะเหนื่อยหน่อย) แต่เรื่องกระจายการลงทุนเป็นเรื่องที่กองทุนรวมทำได้ง่ายกว่ามาก เช่น ถ้าเราสนใจการลงทุนในดัชนี เพราะเรามองว่าดัชนียังไงก็โตตามเศรษฐกิจในระยะยาว ดัชนีที่ไม่โตคือประเทศที่เจ๊ง ถ้าเราสนใจ SET50 เราก็ไม่ต้องไปนั่งซื้อในตลาดหุ้นทีละตัว แค่ซื้อหน่วยลงทุนจากกองทุนที่ลงใน SET50 เราก็เหมือนได้ครอบครองหุ้นในดัชนีนั้นแล้ว

หรือถ้าเราสนใจลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ถ้ามองว่าช่วงนี้หุ้นเทคโนโลยีเติบโตดี ก็แค่ซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี เราก็จะได้ลงทุนในหุ้นเด่นในกลุ่มทันที ทีนี้เราก็ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงดวงว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น เพราะเราเหมาหมด ถึงจะมีตัวขาดทุนบ้าง แต่ถ้ามีตัวขึ้นแรงๆ ก็จะสามารถชดเชยและดันให้ผลตอบแทนของกองนั้นเป็นบวกได้ (หลักการคล้ายๆ ลงทุนในดัชนี)

3. ลงทุนได้ทุกสินทรัพย์

ผมมองว่าข้อนี้เป็นจุดที่เด่นที่สุดของกองทุนรวม เพราะกองทุนรวมทำให้เราสามารถเลือกลงทุนได้ทุกสินทรัพย์ทั่วโลก ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยเราจะลงทุนได้เฉพาะหุ้นไทยเท่านั้น ถ้าปีนั้นหุ้นไทยไม่โต ก็ซึมไป (ยกเว้นใครชำนาญก็สามารถไป short หุ้นหรือเก็งกำไรขาลงในตลาด TFEX ได้)

สินทรัพย์ที่เราสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ อาทิเช่น หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ น้ำมัน ซึ่งประโยชน์ตรงนี้คือทำให้เราลงทุนได้ในทุกจังหวะเวลา ถ้าช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจ ก็ย้ายไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือตลาดหุ้นจีนแทนได้ หรือถ้าเราเน้นการลงทุนระยะยาว ก็สามารถนำกองทุนที่ลงในสินทรัพย์ต่างๆ มาจัดพอร์ตแบบ Asset Allocation กระจายความเสี่ยงและทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวเป็นบวกอย่างสม่ำเสมอได้

4. นำไปลดหย่อนภาษีได้

เรื่องสุดท้ายที่กองทุนรวมทำได้แต่หุ้นทำไม่ได้ คือเรื่องลดหย่อนภาษีครับ กองทุนรวมประเภท SSF และ RMF สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมาย และสามารถลดได้เยอะด้วย (ลดหย่อนเงินได้ได้สูงสุด 500,000 บาท) แต่ต้องศึกษาเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีให้ดีๆ ก่อนลงทุน เพราะทั้งกอง SSF และ RMF ซื้อแล้วไม่สามารถถอนเข้าถอนออกได้ เพราะมีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาในการถืออยู่

แต่ถ้าจะซื้อไว้ลดหย่อนภาษีอย่างเดียวก็น่าเสียดาย เพราะกองทุน SSF และ RMF ก็เหมือนกองทุนทั่วไปที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่เราได้ลดหย่อนภาษี ถ้าเราเลือกกองทุนดีๆ เราอาจจะได้ผลตอบแทนกลับมาอีกด้วย

Update: นักลงทุนสามารถซื้อกองทุน SSF-RMF กับ FINNOMENA ได้แล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและเริ่มต้นลงทุนได้ที่ https://finno.me/tax-saving-fund1452

สรุป

กองทุนรวม vs หุ้น

กองทุนและหุ้นถือว่าเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ดีทั้งคู่ แต่ละอันก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน อันไหนเหมาะกับชีวิตประจำวันของเรามากกว่าก็เลือกลงทุนอันนั้น แต่มีดอกจันคือเราต้องมั่นใจว่าเรามีความรู้เพียงพอก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะเรื่องของ “ความเสี่ยง” ที่ติดมากับการลงทุนนั้น

ถ้าเรามีความรู้ที่มากพอแล้ว ไม่ว่าลงทุนในสินทรัพย์ไหนก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ครับ

เขียนโดย TUM SUPHAKORN

iran-israel-war