วงจรชีวิตของ “มนุษย์เงินเดือน” อย่างเราๆ ท่านๆนั้น คงหนีไม่พ้น…
จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าในชีวิตการทำงานแต่ละวัน สิ่งที่เราให้ความสำคัญไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่อง “เงิน” สักเท่าไหร่…เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการคิดโปรเจค ทำงาน ประชุม แอบเล่น Facebook ส่อง IG หรือไม่บางคนถึงขั้นขายของออนไลน์ในเวลางานด้วย >_<”
ถ้าวงจรชีวิตยังวนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป เห็นที “ความมั่งคั่ง” ที่ใครต่อใครเฝ้าใฝ่หา จะยิ่งไกลแสนไกล…ดังนั้นมาทบทวนกันหน่อยดีกว่าว่า ตัวเราในวันนี้ “ลงทุน” 5 สิ่งเหล่านี้ไว้แล้วหรือยัง เป้าหมายก็เพื่อ “ความมั่งคั่ง” ที่ใครๆ ก็อยากมี
ก่อนจะควักเงินจากกระเป๋าไปทำสิ่งใด อย่าลืมว่าทรัพยากรที่มี “คุณค่า” ที่สุดก็คือ “ตัวคุณเอง” และ “คุณค่า” ก็คือผลรวมของ “คุณประโยชน์” และ “มูลค่า” ดังนั้นเมื่อคุณมีประโยชน์ (ต่อองค์กร, ต่อลูกค้า, ต่อนายจ้าง, ต่อธุรกิจ) มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้รับมูลค่าที่คู่ควรมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณ “มีประโยชน์” มากขึ้นก็คือการ “ลงทุนในความรู้” นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการหยั่งลึกความรู้ในสิ่งที่ตนถนัด การเสริมทักษะเพื่อเติมความสามารถ หรือแม้แต่การศึกษาเรื่อง “การลงทุน”
ที่น่าสนใจคือ “ความรู้” เป็นการลงทุนที่มีราคาถูกที่สุด (ไม่ว่าจะเป็นความรู้ฟรีบนโลกอินเตอร์เน็ต หรือหนังสือราคาหลักร้อย) แต่อยู่กับเรานานที่สุด ที่สำคัญ…เป็นการลงทุนที่ไม่มีวันขาดทุน!
การลงทุนในความรู้…ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
-เบนจามิน แฟรงคลิน-
ไม่ว่าจะเป็น “สุขภาพกาย” หรือ “สุขภาพใจ” ล้วนมีผลต่อการทำงาน สร้างรายได้ และการดำเนินชีวิตของคนเราทั้งนั้น และหากมองดูบุคคลผู้ประสบความสำเร็จ และเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกหลายคน ก็พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า “คนรวย…มักมีสุขภาพดี”
Dr. Paul Lanthois คุณหมอจัดกระดูกสันหลังที่มีประสบการณ์ทำงานกว่า 23 ปี เปรียบเทียบให้เห็นวิธีการดูแลสุขภาพของ “คนจน” กับ “คนรวย” ที่น่าสนใจว่า…
“คนจน”
“คนรวย”
เช่นเดียวกับมุมมองของนักจิตวิทยาพัฒนาสมอง ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร ที่บอกว่าคนเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ IQ เพียงแค่ 25% แต่อีก 75% มาจาก EQ
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนนี่เป็นการตอกย้ำว่า…หากอยากประสบความสำเร็จ หรืออยาก “มั่งคั่ง” ต้องไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับการ “ลงทุนในสุขภาพ (กาย และ ใจ)”
ก่อนจะให้น้ำหนักกับการ “ต่อยอดความมั่งคั่ง” ผ่านหุ้น กองทุนรวม อสังหาฯ ทองคำ หรือสินทรัพย์อะไรก็ตาม อย่าลืมสิ่งสำคัญที่บั่นทอนความรวยของเราโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ “ภาษี”
สิ่งที่แน่นอนในโลกนี้มีเพียง 2 อย่างคือ ความตาย และ ภาษี
-เบนจามิน แฟรงคลิน-
สำหรับวิธีจัดการภาษีมีเพียงแค่ 2 วิธีเท่านั้นคือ “ยอมเสียมันไป” หรือ “ทวงมันคืน”
แต่ถ้าวันนี้เรามีสิทธิที่จะ “ทวงคืน” แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำ?
ในโลกของการลงทุน…เครื่องมือที่ช่วยคุณ “ทวงคืน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF) ทีทำให้เราสามารถ “ลงทุน” และได้สิทธิประโยชน์ทาง “ภาษี” ควบคู่กันไปด้วย เรียกง่ายๆ ก็คือ “ได้ 2 เด้ง” เห็นมั้ยว่าดีกว่าการลงทุนทั่วไปเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้น…ถ้ายังเอาภาษีคืนไม่เต็มสิทธิ อย่าเพิ่งหันเหไปลงทุนในอะไรที่อาจให้ผลตอบแทนแค่เด้งเดียว!
หนี้ก้อนใหญ่ที่สุด และกินเวลาที่สุดในชีวิตเราทุกคนก็คือ “หนี้บ้าน” ดังนั้นหากใครสักคนอยากสร้างวินัยในการเก็บออม และลงทุนให้กับตัวเอง “บ้าน” (แนวราบ หรือ แนวสูง) คือจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ เพราะข้อดีของอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้มีหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น…
ที่สำคัญที่สุด “บ้าน” เป็นปัจจัย 4 มีบ้านเป็นของตัวเองย่อมอุ่นใจกว่าเช่าอยู่ และยิ่งมีบ้านหลายหลัง ก็ยิ่งรู้สึกมั่นคง (ไม่ใช่บ้านเล็กบ้านน้อยนะ เพราะไม่งั้นคงรู้สึกไม่มั่นคง!)…จริงมั้ย?
ในเมื่อเราทำงาน “ความเสี่ยงต่ำ” ก็ควรลงทุน “ความเสี่ยงสูง”
ว่ากันว่า “มนุษย์เงินเดือน” มีความมั่นคงมากกว่าคนที่ทำอาชีพอิสระ หรือ นักธุรกิจ เพราะมีรายได้ที่แน่นอน โอกาสไม่มีงานทำน้อย ความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างต่ำ แถมจะทำงานหรือไม่ทำ (ลาพักร้อน ลาป่วย ลากิจ) ก็ยังมีรายได้เหมือนเดิม เห็นมั้ยว่า “ความเสี่ยงต่ำ” จริงๆ
แต่…การทำงานก็เหมือนกับการลงทุน “ความเสี่ยงต่ำ…โอกาสได้รับผลตอบแทนต่ำ” ดังนั้น กว่าจะมั่งคั่งก็คงต้องใช้เวลามากกว่าคนที่ทำอาชีพอิสระ หรือ นักธุรกิจ
ดังนั้นถ้า “ทำงานความเสี่ยงต่ำ” (มนุษย์เงินเดือน) แล้ว…ก็ควรให้เงินทำงานหนักแทนเราด้วยการ “ลงทุนความเสี่ยงสูง” เช่น ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น หรือหุ้นพื้นฐานดี เงินจะได้งอกเงย เพิ่มค่าทันกับเงินเฟ้อ หรือพอใช้ในยามเกษียณ
ไม่ใช่ทำงานความเสี่ยงต่ำ แล้วยังไปลงทุนความเสี่ยงต่ำ (เงินฝาก ตราสารหนี้) แบบนี้โอกาสที่เงินจะเติบโตเห็นทีจะใช้เวลานานแสนนานเลยทีเดียว…สภาพคล่องน่ะมีได้ แต่แค่พอใช้ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายก็พอแล้ว
ยินดีด้วย!
ถ้าคุณอ่านถึงบรรทัดนี้ก็แสดงว่าได้ทำข้อ 1 (ลงทุนใน “ความรู้”) เรียบร้อยแล้ว…มาเริ่มเดินหน้าลงทุนด้านอื่นต่อเลยดีกว่า ว่าที่ “เศรษฐี” ^____*
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนการลงทุน, คนจน, คนรวย, มนุษย์เงินเดือน