เทรดเดอร์…อยากเม้าท์ : ep.5 วิธีการเล่นหุ้นในช่วงเวลาที่ดี และซวยสุดของนักลงทุน

การเก็งกำไรของนักลงทุนหรือเทรดเดอร์แต่ละคน มันก็มีช่วงเวลาของมันอยู่ครับ

บางช่วงมันก็ดีแสนดี…     บางช่วงมันก็แย่เกินทน…

ส่วนตัวผมเอง ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันดูออกจะดูไร้เหตุผลสิ้นดี

เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงเวลาของคุณ คุณก็มักจะทำได้ดีมากๆ กำไรติดต่อกันเรื่อยๆ จนไม่น่าเชื่อ จนคุณอาจจะคิดเลยเถิดไปว่า ชีวิตนี้คุณคือ Money Machine!! เครื่องจักรผลิตเงินนั่นเอง!!!

ในช่วงเวลาที่ดีของคุณนั้น ต่อให้คุณทำผิดพลาดบ้างอะไรบ้าง มันก็มักจะกลายเป็นดีอยู่เสมอ เช่น คุณกำลังเทรดหุ้นปั่นอยู่ตัวนึงแบบขำๆ กะเล่นแค่ 1 หมื่นบาทต่อครั้ง แต่กลายเป็นว่าคุณคีย์ส่งคำสั่งผิด จากซื้อ 1 พันหุ้น กลายเป็น 1 หมื่นหุ้น…คุณรู้ตัวว่ากำลังทำพลาดมหันต์!! แต่เพราะคุณอยู่ในช่วงเวลาที่ดี หุ้นที่คุณซื้อไป กลับดีดแรงพรวดพราดจนทำกำไรให้คุณได้อย่างมากมายจนไม่น่าเชื่อ

นี่แหล่ะครับ คือ ช่วงเวลาที่ดีของคุณ…พลาดยังไง ก็กลายเป็นดีได้หมด

แต่…เมื่อมันไม่ใช่เวลาของคุณ คุณก็มักจะขาดทุนติดๆกัน หรือที่ผมเรียกว่าช่วง “ดวงตก” เพราะมันไม่เกี่ยวเลยว่า ความคิดของคุณจะดีเยี่ยมแค่ไหน สุดท้ายคุณก็จะขาดทุนอยู่ดี

คุณเคยเป็นแบบนี้กันบ้างมั๊ยครับ…ผมผ่านทั้งสองจุดนี้มาแล้ว สุดยอดเทรดเดอร์หรือนักลงทุนชั้นเซียนทุกคนก็ต้องเคยผ่านจุดนี้มาแล้วทั้งนั้น

ของแบบนี้ นั่งหาคำตอบกันไป ก็เสียเวลา เสียใจ เสียเหงื่อเปล่าๆครับ

เพราะว่า…มันเป็นส่วนหนึ่งของเกมนี้ครับ!!

เกมส์ที่เรียกว่า “ตลาดหุ้น”

คำแนะนำหรือครับ? ง่ายๆเลย…

เมื่อช่วงเวลาแย่ๆของคุณมาถึงนั้น คุณต้องลดขนาดการลงทุนของคุณลงครับ!! 

เสี่ยงให้น้อยลง..ให้น้อยลงอีก และน้อยลงอีก จนน้อยลงที่สุด

จนกว่า….คุณจะเริ่มกลับมามีกำไรอีกครั้ง!!! แล้วค่อยๆเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมา ค่อยๆเพิ่มมันขึ้นมาอีก…เพิ่มให้ขึ้นกว่าเดิม และเพิ่มมากขึ้นอีก!!

ฟังดูง่ายๆ ใครๆก็ทำได้…แต่….พวกคุณส่วนใหญ่ไม่ทำกันหรอกครับ

ทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงไม่ทำกันหล่ะ?

ก็เพราะเวลาช่วงแย่ๆมาถึงนั้น คุณมักจะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะคุณอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเอาคืนน่ะซิครับ…ผมก็เคยเป็น และก็เป็นบ้างบางครั้งในตอนนี้ แต่ก็พยายามจะขจัดความรู้อยากเอาคืนออกไปให้ไกลที่สุด

เพราะ..การที่อยากจะเอาคืน กลับเป็นผลร้ายที่มันจะหวนมาเอาคืนคุณน่ะซิครับ!!

วิธีแก้อีกอย่างคือ..จงทำให้ระบบการลงทุนของคุณง่ายที่สุด

เพราะความซับซ้อน (Complexity) จะทำให้คุณ..แย่! ล้มเหลว! และสับสน!

ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ..

ตั้งแต่ผมเข้ามาในวงการเทรดเดอร์ในตลาดหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดอนุพันธ์หรือ TFEX นั้น ผมไม่เคยพบเจอกับเทรดเดอร์ที่คลั่งไคล้เครื่องมือเทรดที่เรียกว่า Fibonacci และพวกนับคลื่น Elliot Wave ที่รวยมหาศาลในวงการนี้ (ย้ำ! ว่ามหาศาลน่ะครับ ถ้ากำไรหลักหมื่นหลักแสนเพราะเครื่องมือเหล่านี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ)

คนกลุ่มนี้มักจะเพิ่มความซับซ้อนและอาการวิงเวียนศรีษะให้กับตัวเองครับ เช่น กลุ่มที่คลั่งการนับคลื่นใน Elliot Wave นั้น..ถามว่า แต่ละคนนับคลื่นเหมือนกันหรือไม่…ไม่!! อย่างแน่นอน เดี๋ยวก็คลื่น A, B และC ของเวฟ 2 บ้างหล่ะ ของเวฟ 4 บ้างหล่ะ จนสุดท้ายก็ไม่แน่ชัดว่ามันเป็นเวฟย่อยของเวฟอะไรกันแน่

จนพวกเขาสับสนในสิ่งที่เขาคิด จนอาจจะไม่ทำอะไรซักอย่างเลยก็ได้ครับ

แต่กลับกัน…เหล่าสุดยอดเทรดเดอร์ที่ผมรู้จักนั้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานที่ผมเชื่อว่าเค้าคือหนึ่งในสุดยอดของเทรดเดอร์รุ่นใหม่ ที่จะเติบใหญ่เป็นเซียนหุ้นและเซียนตลาด TFEX อย่างแน่นอน หรือจากเซียนเทรดเดอร์อีกหลายๆท่านที่มิอาจเอ่ยนามได้

เค้าเหล่านี้กลับมีสิ่งที่เหมือนๆกัน…ก็คือ..พวกเขาจะใช้ระบบการลงทุนที่ง่ายมากๆ จนเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ เพราะมันง่ายเหลือเชื่อ…แต่ทำตามได้ยากสุดๆครับ

ยกตัวอย่างน่ะครับ ถ้า “จุดต่ำสุด” ของหุ้นสูงขึ้นเรื่อย และ “จุดสูงสุด” ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกกันว่า Higher Low, Higher High นั้น…พวกเขาก็อาจจะเข้าซื้อมันทันทีครับ เพราะมันแทบจะชัดเจนว่า หุ้นกำลังสร้างฐานเพื่อจะขึ้นแรงๆได้

แล้วเหล่าสุดยอดเทรดเดอร์เหล่านี้ เค้าไม่วิเคราะห์กราฟเทคนิคกันบ้างหรืออย่างไร?

วิเคราะห์ครับ…แต่มักจะวิเคราะห์กราฟอย่างง่ายๆ.. บางที่อาจจะลากเส้นแค่ 1-2 เส้น เพื่อดูแนวโน้มระยะสั้น – ยาว และถ้ามันหลุดเส้นแนวโน้มใหญ่ๆ ที่เค้าได้วาดกราฟหรือตั้งเป้าหมายเอาไว้… พวกเขาก็เพียงแค่ขายและหนีออกมา..แค่นั้นเองครับ

ง่ายมากๆเลยใช่มั๊ยครับ…ง่ายจริงๆ!!

ที่น่าแปลกใจคือ สุดยอดเทรดเดอร์เหล่านั้น ล้วนแล้วแต่ไม่ชอบความซับซ้อนแม้แต่คนเดียวครับ คุณลองถามเซียนหุ้นระดับพอร์ทเป็นร้อยล้านเป็นพันล้านดูน่ะครับ ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับคำตอบง่ายๆว่า “ก็เพราะคิดว่ามันขึ้น เลยซื้อ” หรือ “ก็เพราะมันดูแล้วหุ้นจะลง ผมก็เลยขาย แค่นั้นเอง”

ข้อควรจำอีกประการก็คือ…

การย่อตัวของหุ้นในตลาดหมีนั้น มักจะรุนแรงกว่าในตลาดกระทิงนั่นเอง

ทำไมมันต้องรุนแรงหล่ะ? ผมก็ตอบไม่ได้ ไม่เข้าใจเหมือนกัน รู้อย่างเดียวคือ เมื่อตลาดหุ้นเริ่มส่งสัญญาณเป็นขาลงแล้วเนี่ยะ คุณต้องระมัดระวังการลงทุนให้มากถึงมากที่สุด เพราะเมื่อตลาดหุ้นอยู่ภาวะหมีหรือตลาดขาลงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะดูแย่ไปหมด แรงเทขายจะมีให้เห็นอยู่เต็มกระดานหุ้นหรือเต็มหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คุณดูอยู่นั้นเองครับ

ไม่ว่าคุณจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดข้นด้วยเหตุผลที่ดีเพียงใดก็ตาม แต่เวลาที่คุณขาย Short หุ้น (short หุ้น คือการที่นักลงทุนมองว่าหุ้นตัวนั้นๆจะลง จึงทำการยืมหุ้นมาขายก่อน แล้วจึงค่อยซื้อกลับคืนทีหลัง)คุณก็มักจะรีบร้อนที่จะซื้อหุ้นคืนเร็วกว่าเวลาที่คุณเข้าซื้อธรรมดาๆ

ไม่แปลกที่จะทำครับ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ..เราไม่ใช่เทพ เทวดาที่จะหยั่งรู้!

อีกหนึ่งกฏที่ควรจำและเป็นสิ่งที่ควรจำเป็นอย่างยิ่งก็คือ

“แมลงสาบ ไม่เคยมาตัวเดียว”

เพราะเมื่อข่าวร้ายหรือข่าวดีเริ่มออกมาข่าวหนึ่ง มันก็มักจะมีข่าวร้ายหรือข่าวดีตามออกมาอีกเรื่อยๆ…ง่ายดีมั๊ยครับ ง่ายต่อการจดจำ แต่ยากต่อการทำมันครับ โหดจริงๆ

ตัวอย่างชัดเจนก็คือ ช่วงใกล์เกิดวิกฤติซับไพร์ม หรือ Hamburger Crisis นั่นแหล่ะครับ ที่แสดงอาการที่เรียกว่า “แมลงสาบ ไม่เคยมาตัวเดียว”

เพราะเมื่อมีข่าวร้ายข่าวแรกออกมา..นักลงทุนก็จะคิดว่ามันเรื่องจิ๊บๆ ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่ข่าวๆเดียว คงไม่มีอะไรเลวร้ายตามมาอีก…แล้วเป็นไงครับ แมลงสาบมากันพรึ่บ!! ข่าวร้ายทยอยออกมาเป็นระยะๆ ไม่จบสิ้น แต่คุณก็ยังไม่ยอมขายหุ้นที่คุณมี จนนักลงทุนส่วนใหญ่ ติดดอยก็มี หมดตัวก็มี เลิกเล่นหุ้นไปเลยก็มี เพราะอะไรครับ?

เพราะตัวคุณเองทั้งนั้น…!! อย่าโทษตลาด อย่าโทษผู้อื่น จงโทษตัวเองครับ แล้วจดจำไว้เป็นบทเรียนล้ำค่าครับ คุณจะแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน

Wizard Kid