Buffet-23-Dec-15

ปี 2015 นับเป็นปีที่ลำบากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่ง นักลงทุนระดับตำนาน!!

ไม่ใช่แค่นั้น เพราะปี 2015 นี่ กำลังจะเป็นปีที่แย่ที่สุดตั้งแต่ปี 2008 ของกองทุน Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett

หุ้นของ Berkshire ทั้ง A และ B ปรับตัวลงกว่า 13% ตั้งแต่ต้นปี

ครั้งล่าสุดที่ผลตอบแทนของกองทุนตกต่ำที่สุด ก็คือปี 2008 ปีนั้นราคาของ Bershire ตกลงไปกว่า -32% ทีเดียว ถ้าย้อนกลับไปดูช่วงนั้น แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่แย่มากๆ สำหรับทุกๆคน เชื่อว่าหลายคนน่าจะยังพอจดจำวิกฤตการทางการเงินครั้งนั้นได้ดี

ถึงแม้ปี 2008 จะเป็นปีที่แย่ของ Warren Buffett แต่กองทุนของเขาก็ยังถือว่าชนะตลาดโดยรวมได้ เพราะดัชนี S&P ตกลงกว่า -38.5% ร่วงหนักกว่ากองทุน Berkshire อยู่ถึง -6.5%

แต่ปีนี้ Buffett แพ้ตลาด… เพราะ ดัชนีปรับตัวลงก็จริงแต่เพียงแค่ 2% เท่านั้น

ครั้งสุดท้ายที่ผลตอบแทนของกองทุนเป็นลบและเทียบกับตลาดโดยรวมแล้วแพ้ คือปี 1999 ในปีนั้น ดัชนีปรับตัวชึ้นกว่า +19.5% แต่กองทุน Berkshire ปรับตัวลงถึง -22%

ตลาดปีนี้มีความเหมือนบางอย่างกับในปี 1999 ซึ่งน่าจะช่วยอธิบายได้ว่าทำไมผลตอบแทนกองทุนถึงแย่กว่าดัชนี

ในปี 1999 กลุ่มเทคโนโลยีตัวใหญ่ปรับตัวขึ้นได้ดี ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับที่ปีนี้ ดัชนีสามารถที่จะประคองตัวเองไว้ได้

ลองหันไปดูหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใน S&P500 ปีนี้สิ Neflix และ Amazon ปรับตัวขึ้นมากกว่า 2 เท่า Google ปรับขึ้น 40% และ Facebook ขึ้นกว่า 30%

เมื่อในปี 1999 Buffet มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างน้อย และที่ปีนี้แพ้ ก็เพราะ ไม่มีหุ้นกลุ่มนี้อยู่เลย และนอกจากสาเหตุนี้ที่ทำให้กองทุนแพ้ตลาดแล้ว หุ้นกลุ่มที่ถือส่วนใหญ่กลับมีผลตอบแทนสวนทางเป็นขาลงอย่างรุนแรงเสียด้วย

ยกตัวอย่างเช่น IBM หนึ่งในจำนวนน้อยหุ้นของกลุ่มเทคโนโลยี ที่ Berkshire ถือครอง ตกลงกว่า -15% (หุ้นตัวนี้ถือเป็นอันดับ 4 ของสัดส่วนการถือครองสูงสุด) รวมถึงหุ้นอีกประมาณ 20 ตัวที่ฉุดให้ผลตอบแทนตกต่ำลงไปอีก

  • American Expres ปรับตัวลง -26.5% (ถือครองอันดับ 5)
  • Procter & Gamble ปรับตัวลง -13.8% (ถือครองอันดับ 7)
  • Walmart ปรับตัวลง -31.5% (ถือครองอันดับ 9)
  • Davita HealthCare Partners ปรับตัวลง -9.4% (ถือครองอันดับ 10)
  • Goldman Sachs ปรับตัวลง -8.9% (ถือครองอันดับ 13)
  • Deere & Co ปรับตัวลง -14.9% (ถือครองอันดับ 17)
  • USG ปรับตัวลง -14.5% (ถือครองอันดับ 20)

นับว่าปรับตัวลงได้อย่างหนักหนาสาหัสทีเดียว

ปรับกลยุทธ์เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

แต่ปัจจุบันกองทุน Berkshire ไม่ใช้แค่เรื่องการเลือกหุ้น (Stock Selection) เพียงอย่างเดียว โดย Buffett กล่าวว่า “พอร์ตการลงทุนจะมีกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง (Diversification) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ล่าสุด ถ้ากางพอร์ตของ Berkshire ดู กองทุนมีสัดส่วนใน Geico และบริษัทประกันอื่นๆ สินค้าบริโภคอย่าง Dairy Queen Fruit of the Loom Oriental Trading และ Benjamin Moore เช่นเดียวกันกับ the Burlington Northern Santa Fe railroad และอีกกลุ่มหนึ่งคือ บริษัทในกอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าและท่อขนส่งแก๊ซธรรมชาติ … ถือว่า Berkshire มาไกลจากจุดเดิมในช่วงเริ่มต้นกองทุนเป็นอย่างมากทีเดียว ในแง่ของวิธีการบริหารการลงทุนของพอร์ต

แม้ว่าปรากฎการณ์ราคาพลังงานตกต่ำมีผลกระทบต่อบริษัทขนส่งทางรางอย่าง BNSF และหุ้นบางตัวในกลุ่มพลังงานของ Berkshire แต่รายได้ของกองทุนยังคงปรับตัวขึ้นกว่า 8.6% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2015

กำไรที่โตกว่า 18% ส่วนหนึ่งมาจากแรงส่งของกำไร 44,000 ล้านเหรียญจากดีลการควบรวม Kraft and Heinz ในเดือนกรกฎาคม โดย Berkshire เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทดังกล่าวและปัจจุบันถือหุ้นกว่า 27% แล้ว

นอกเหนือจากดีล Kraft and Heinz แล้ว Bershire ยังคงยึดมั่นอุดมการณ์การขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้ซื้อบริษัทชิ้นส่วนอากาศยาน Precision Castparts ในมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านเหรียญ ดังนั้น Buffett ก็ไม่ได้ถึงกับผิดหวังมากกับผลตอบแทนในปีนี้ แม้จะมีหุ้นใหญ่ในพอร์ตการลงทุนบางตัวที่ปรับตัวลงค่อนข้างรุนแรง เช่นเดียวกับ แฟนพันธ์แท้และผู้ถือหุ้นก็คงไม่ได้โมโหอะไรมากมาย เพราะท้ายที่สุดแล้ว Buffet ก็ไม่ใช้นักลงทุนรายวัน เขาเลือกลงทุนด้วยแผนการลงทุนที่มีระยะเวลาการถือครองที่ยาวมากๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว

ผลตอบแทนระยะยาวต่างหากที่เป็นของจริง!!

หุ้น Berkshire ประเภท B ราคาปรับตัวขึ้นกว่า 123% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สูงกว่าดัชนี S&P มากกว่า 2 เท่า (ผลตอบแทน 58%) และตั้งแต่หุ้นประเภท B หรือรู้จักกันในนาม Baby Berkshire (Berkshire สำหรับเด็กน้อย) เริ่มเทรดกันในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 1996 หุ้น B ให้ผลตอบแทนสูงถึง 541% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 ที่ทำผลตอบแทนได้ 201.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ถ้าเหตุการณ์ในอดีตพอจะบอกอะไรได้บ้าง นักวิเคราะห์หลายสำนักก็เชื่อว่า Berkshire ของ Buffett จะกลับมามีผลตอบแทนที่ดีอีกครั้งในปีหน้า สาเหตุเพราะ Baby Berkshire ไม่เคยให้ผลตอบแทนติดลบต่อเนื่องกัน 2 ปีติดเลยในอดีต และครั้งสุดท้ายที่หุ้นประเภท A เกิดติดลบ 2 ปีต่อเนื่อง เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วในปี 1973 -1974


 

FINNOMENA Opinion

บทความนี้เป็นหลักฐานที่ดีอย่างหนึ่งว่า แม้แต่นักลงทุนระดับตำนาน ที่ประสบการณ์การลงทุนสูงมาก และมีผู้เฝ้าติดตาม (ถึงขั้นเอาไปบูชา) มากมายนั้น บางครั้งก็เจอช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า แนวทางการลงทุนนั้นไม่ดี หรือผู้จัดการกองทุนคนนั้นไม่เก่ง แต่บางครั้งสภาวะตลาดอาจไม่เอื้อให้การลงทุนนั้นๆแสดงประสิทธิภาพของมัน หรืออาจมีประเด็นที่ส่งผลกระทบที่คาดการณ์ไม่ได้ล่วงหน้าก็เป็นได้

แอดมึนเชื่อว่า สิ่งที่ได้จากการอ่านบทความนี้ จะเป็นกำลังใจกับเพื่อนนักลงทุนที่อาจยังอยู่ในช่วงมรสุม ใหัยังคงยึดมั่นในหลักการ/แนวทางที่เราถนัด และไม่หยุดพัฒนาตัวเองในยามที่ตลาดผันผวน เช่นปีที่ผ่านมา