
Cathie Wood แห่ง ARK Invest วิเคราะห์ถึงเวลาจบรอบขาขึ้นของราคาทองคำ และจะเป็นจังหวะซื้อหุ้นไม้ใหญ่ หลังกราฟ Gold Market Cap / M2 พุ่งสู่จุดสูงสุด ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ยุค Great Depression 30’s และ Great Inflation 80’s
การวิเคราะห์ของ Cathie Wood ได้ยกความสัมพันธ์ของมูลค่าตลาดทองคำ (Gold Market Cap) เทียบกับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (M2 Money Supply) มาชี้ให้เห็นสัญญาณจุดจบขาขึ้นของราคาทองคำ
เพราะว่าอัตราส่วนมูลค่าตลาดทองคำต่อ M2 กำลังแตะระดับสูงสุดใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งในประวัติศาสตร์ คือ
1. ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ปี 1930s
- ช่วงนั้นเกิดภาวะเงินฝืดรุนแรง (Deflationary Bust) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ดำเนินนโยบายที่ตึงตัวมากเกินไป
- Gold Market Cap / M2 พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากราคาทองคำถูกตรึงไว้ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นผลมาจากการที่อุปทานเงินลดลง
- เมื่อ Fed เริ่มผ่อนคลายมาตรการ อัตราส่วนนี้จึงเริ่มลดลง ก็เกิดการพลิกกลับมาเติบโตอย่างมหาศาลในตลาดหุ้น
2. ยุคเงินเฟ้อครั้งใหญ่ (Great Inflation) ปี 1980s
- โลกเจอกับปัญหา Stagflation ผู้คนหันไปเก็บทองคำเพื่อหาความปลอดภัย (Flight to Safety) และการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ (Hedging against Inflation)
- Gold Market Cap / M2 ขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 1980-1981 ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง
- แต่หลังจากจุดสูงสุดนี้ ตลาดการเงินก็ได้เข้าสู่ยุคทอง (Golden Era) สำหรับทั้งหุ้นและพันธบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 เมื่อเงินเฟ้อถูกควบคุมได้ ทองคำก็หมดความน่าสนใจ
ปัจจุบันอัตราส่วนนี้สูงขึ้นอีกครั้งเช่นเดียวกับที่เคยเป็นในอดีต ปัจจัยที่จุดชนวนให้เกิดการขึ้นของราคาทองคำ คือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risks) ความตึงเครียดต่อภาวะสงครามทั่วโลก รวมถึงสงครามเศรษฐกิจ/เทคโนโลยีของสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งนำไปสู่การหันไปหาความปลอดภัย
หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เรากำลังเห็นจุดสูงสุดของทองคำ และหากอัตราส่วน Gold Market Cap / M2 เริ่มคลี่คลายลงสู่ด้านล่าง (Resolve to The Downside) เหมือนกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จะเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับตลาดหุ้น
อาจถึงเวลาที่ S&P 500 จะกลับมาชนะทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นกลุ่มนวัตกรรม AI
สรุปแล้ว Cathie Wood เชื่อว่าตลาดกระทิง (Bull Market) ของหุ้นได้เข้ามาอย่างมั่นคงแล้ว และจะดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากอัตราส่วนทองคำต่ออุปทานเงิน และปัจจัยขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมที่สนับสนุนว่าหุ้นจะกลับมาทำผลงานได้ดีกว่าทองคำ
อ้างอิง: Ark Invest


