วิกฤติหนี้ยุโรป อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (3)
ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM
บทความสองตอนก่อนได้เล่าถึงความเป็นมาและสถานการณ์ปัจจุบันของปัญหาหนี้สินในยุโรปไปแล้ว ในตอนสุดท้ายนี้จะกล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินในยุโรป และอนาคตของเศรษฐกิจโลกในทัศนะของผู้เขียน
ปัจจุบันความสนใจปัญหาหนี้สินของประเทศในกลุ่มยุโรปอยู่ที่กรีซ อิตาลี และสเปน ซึ่งประเทศทั้งสามมีสถานะที่ใกล้เคียงกัน คือ หนี้สินต่อ GDP สูง มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการว่างงานที่สูงมากจนไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญประเทศอย่างอิตาลีและสเปนคือเป็นประเทศทีมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ติดอันดับโลก (GDP อิตาลี และสเปนจัดอยู่ในอันดับ 8 และ 12 ของโลกตามลำดับ) หากประเทศทั้งสองไม่สามารถระดมเงินกู้เพื่อมาต่ออายุลมหายใจได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจะรุนแรงมากกว่าวิกฤติทุกครั้งที่โลกเคยผ่านมา ชนิดที่ว่าวิกฤติต้มยำกุ้งของเอเชียเมื่อปี 1997 ถือว่าจิ๊บจ้อยมาก หรือแม้แต่ Hamburger crisis ปี 2008 ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ (ตามความเห็นของนักลงทุนระดับตำนานอย่าง จอร์จ โซรอส และ จิม โรเจอร์)
องค์กรทางเศรษฐกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสหภาพยุโรป(EU) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (G-20) จึงต้องหาแนวทางให้ความช่วยเหลือประเทศดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากกรีซ ด้วยความหวังที่ว่าหากสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนยอมต่ออายุหนี้ของกรีซได้ ประเทศทีดูแล้วมีความน่าจะเป็นที่จะชำระหนี้ไม่ได้น้อยกว่าอย่างอิตาลี และสเปนก็น่าจะรอดไปด้วย
วิธีการแก้ปัญหากรีซที่ EU และ IMF ใช้ในเบื้องต้นคล้ายกับที่เคยใช้กับประเทศไทยสมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง กล่าวคือ ให้วงเงินกู้ในระยะสั้นแก่ บังคับให้กรีซจัดทำงบประมาณเกินดุลด้วยการรัดเข็มขัด และขายสินทรัพย์เพื่อชดใช้หนี้เมื่อตลาดการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ปัญหาคือ กรีซ ไม่ใช่เด็กดีที่ยอมทำตามผู้ใหญ่อย่างประเทศไทย กรีซไม่สามารถปฏิบัติตามแผนลดการขาดดุลได้เลย เนื่องจากรัฐบาลห่วงคะแนนเสียงไม่ยอมลดภาระการขาดดุลการคลังตามที่ EU และ IMF เสนอ ในขณะเดียวกันด้านผู้ให้ความช่วยเหลือเอง ซึ่งได้แก่กองทุน European Financial Stability Facility (EFSF) ก็ประสบกับปัญหาเงินไม่พอ เนื่องจากต้องให้ความช่วยหลายประเทศ และการจะเพิ่มขนาดเงินกองทุนก็จำเป็นต้องอาศัยฉันทามติของทุกประเทศสมาชิก ปัญหาทั้งหมดจึงนำมาสู่การประชุม EU summit เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
ผลการประชุม EU Summit เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้มีข้อสรุปที่มีสาระสำคัญ 2 ประการดังนี้
ผลการประชุมดังกล่าวเมื่อรวมกับท่าทีของกรีซที่ยินยอมตามเงื่อนไขการรับเงินช่วยเหลือของ EU และ IMF สามารถสร้างความมั่นใจในเบื้องต้นให้กับนักลงทุนได้ว่าผลกระทบของปัญหาหนี้สินในยุโรปจะไม่เกิดขึ้นรวดเร็วและทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินเช่นเดียวกับวิกฤติ Hamburger ปี 2008 อย่างไรก็ดีปัญหาต่างๆยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยข้อสรุปที่ได้จาก EU summit เป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือระยะสั้นแก่กรีซที่มีหนี้ครบกำหนดก้อนใหญ่ในเดือนธันวาคมเท่านั้น ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงของปัญหาซึ่งก็คือการใช้จ่ายเกินตัว และการขาดดุลการคลังต่อเนื่องยังคงไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขได้ เมื่อกรีซรอดจากหนี้ระยะสั้นไปได้ความสนใจของตลาดจึงไปตกอยู่กับอิตาลีแทน ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนผลตอบแทนพันธบัตรอิตาลีรุ่นอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นรวดเดียวจาก 6.00% สู่ระดับ 7.5% ในเวลา 4 วันทำการ แสดงให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนที่มีต่ออิตาลีจนนายกรัฐมนตรีอิตาลีถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อปูทางให้รัฐสภาอิตาลีสามารถผ่านแผนรัดเข็มขัดเพื่อลดภาระหนี้ได้สำเร็จ โดยอิตาลีมีหนี้สินก้อนใหญ่ครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ถึงกว่า 50,000 ล้านยูโร ซึ่งยังคงเป็นปัญหาอยู่ว่าอิตาลีจะสามารถระดมเงินกู้เพื่อ Refinance หนี้จำนวนดังกล่าวได้ด้วยตัวเองหรือไม่ ที่ต้นทุนทางการเงินเท่าใด
ในด้านสถาบันการเงินของยุโรปก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน ธนาคารที่มีชื่อเสียงในยุโรปโดยเฉพาะที่มีสัญชาติฝรั่งเศสและเยอรมันถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือกันโดยถ้วนหน้าส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยิ่งลดต่ำลง สถาบันการเงินนอกยุโรป และกองทุนตลาดเงินต่างๆ เริ่มลดธุรกรรมที่ทำต่อธนาคารของยุโรปลงส่งผลให้ธนาคารขนาดเล็กในยุโรปเริ่มประสบปัญหาสภาพคล่อง จนกระทั่งธนาคารกลางของยุโรป สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น และจีนต้องร่วมมือกันเพิ่มวงเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้กับธนาคารในยุโรปเพื่อป้องกันการแห่ถอนเงินจนทำให้ธนาคารเหล่านั้นต้องปิดกิจการไป (Bank run)
ลงทุนในกองทุนรวมที่ยอดเยี่ยม ปรึกษา FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะเป้าหมายการลงทุนแตกต่างกัน จึงต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด
ดูพอร์ตกองทุนแนะนำในอีกด้านหนึ่งเมื่อสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน เช่น สินเชื่อ พันธบัตร หุ้นกู้ ฯลฯ เริ่มมีมูลค่าลดลง เงินกองทุนของสถาบันการเงินต่างๆก็เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการ Haircut หนี้สินของประเทศกรีซ อิตาลี และสเปน จะส่งผลให้ธนาคารในยุโรปขาดทุนรวมกันประมาณ 400,000 – 800,000 ล้านเหรียญยูโร และต้องระดมเงินเพิ่มทุนประมาณ 100,000 – 180,000 ล้านยูโร เพื่อรักษาเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) ให้ได้อย่างน้อย 9% ภายในเดือนมิถุนายนปี 2012 ตามเกณฑ์ BASELIII อย่างไรก็ดีการประมาณการดังกล่าวไม่ได้รวมตัวเลข Haircut ของหนี้สินภาคเอกชน ตัวเลขขาดทุนและเงินเพิ่มทุนจริงจึงอาจมากกว่าตัวเลขประมาณการข้างต้น นี่จึงเป็นที่มาของแผนการขายทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่สถาบันการเงินในยุโรปประกาศในช่วงที่ผ่านมาเพื่อลดขนาดของสินทรัพย์และลดภาระการเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน
สถานการณ์หนี้สินในยุโรปที่กล่าวมาทั้งหมดยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่รอวันแก้ไขทั้งหนี้สินภาครัฐและเอกชน โดยทุกภาคส่วนทั้งประเทศลูกหนี้ องค์การให้ความช่วยเหลือ และเจ้าหนี้ต่างๆจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกันในการแก้ปัญหา โดยแนวทางการแก้ปัญหาของหนี้สินในยุโรปตามมุมมองของผู้เขียนมีดังนี้
ไม่มีมาตรการหรือองค์กรใดๆ จะแก้ไขปัญหาหนี้สินในยุโรปให้หมดไปได้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากเป็นปัญหาที่เรื้อรังมายาวนานและไม่เคยมีรัฐบาลใดที่คิดจะแก้ปัญหาจริงจังเพราะหวังผลทางการเมือง พยายามต่างๆทำได้เพียงประคับประคองสถานการณ์เพื่อรอเวลาให้ประเทศในยุโรปสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง เพราะเวลาจะรักษาทุกสิ่งได้เสมอ
ในอีกมุมหนึ่ง ปัญหาในปัจจุบันถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศต่างๆในยุโรปจะได้เปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ ลดความฟุ้งเฟ้อและอัตตาลง หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้ และลดการก่อหนี้มาเพื่อการบริโภค เพราะไม่มีประเทศใดๆที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้ตลอดไป สักวันหนึ่งหนี้สินที่ก่อไว้ก็จะต้องใช้คืน ถ้าประเทศในสหภาพยุโรป (หรือแม้กระทั่งสหรัฐฯ) ยังคงละเลยการแก้ไขปัญหาโครงสร้างดังกล่าวโดยถือตัวว่าค่าเงินสกุลของตนยังเป็นค่าเงินสกุลหลักและประเทศอื่นๆในโลกจะต้องซื้อพันธบัตรของประเทศตนเพื่อเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ในระยะเวลาไม่นานประเทศต่างๆในโลกก็จะเริ่มเกิดแนวคิดที่จะแสวงหาสินทรัพย์อื่น หรือค่าเงินสกุลอื่นของประเทศที่มีความเข็มแข้งทางเศรษฐกิจสูงกว่ามาใช้แลกเปลี่ยนและใช้เป็นเงินทุนสำรองแทนสกุลเงินดอลลาร์และยูโร และเมื่อนั้นทั้งยุโรป และสหรัฐจะสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไปตลอดกาล
สุดท้ายผู้เขียนจะขอทิ้งท้ายบทความทั้งสามตอนด้วยการพยากรณ์อนาคตของเศรษฐกิจโลกจากนี้ไป (แบบไม่กลัวธงหัก) ผู้เขียนเชื่อว่าปัญหาหนี้สินของยุโรปจะผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ กว่าที่ประเทศยุโรปจะสามารถลดภาระหนี้เข้าสู่ระดับปกติและสถาบันการเงินของยุโรปกลับมาขยายสินเชื่อได้ก็กินเวลาอีกหลายปี (สถาบันการเงินของไทยใช้เวลาทำใจ 10 ปี เพิ่งจะมาขยายสินเชื่อแบบเป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี้เอง แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีธนาคารบางแห่งที่ยังคงกอดสภาพคล่องและตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก เพราะกลัวอดีตสมัยต้มยำกุ้งจะกลับมาหลอกหลอน) ในด้านสหรัฐอเมริกาจะยังเดินหน้าก่อหนี้และขาดดุลต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสูญเสียความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกไปในที่สุด และค่าเงินสกุลดอลลาร์และยูโรจะเริ่มด้อยความสำคัญลงไป โดยจะมีสกุลเงินอื่นประเทศเกิดใหม่ เช่น หยวน รูปีย์ รวมถึงสกุลเงินใหม่ที่เกิดจากการรวบรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาคต่างๆ (เหมือนอย่างที่สหภาพยุโรปเคยทำ) เข้ามามีบทบาทแทนที่ ผู้นำเศรษฐกิจโลกจะกลายเป็นประเทศที่ปัจจุบันจัดว่าเป็นประเทศเกิดใหม่ และโมเดลธุรกิจที่ประเทศเกิดใหม่ใช้ก็จะเปลี่ยนไป (กดค่าแรงและต้นทุนการผลิตให้ต่ำ เพื่อส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อได้ดุลการค้ามาก็เอาเงินไปปล่อยกู้ประเทศพัฒนาแล้วผ่านการซื้อพันธบัตรของประเทศพัฒนาแล้วเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ) การค้าขายกันในกลุ่มประเทศเกิดใหม่จะมีมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความเป็นอยู่ของประชาชนของประเทศเกิดใหม่ก็จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากด้วยรัฐสวัสดิการที่เริ่มฟุ้งเฟ้อ เมื่อพวกเขาเริ่มรู้สึกตัวว่าพวกเขามีอำนาจในการ”กู้” อยู่ในมือ ส่งผลให้ประเทศเกิดใหม่เริ่มมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งพวกเขาก็จะกลับมายืนอยู่ในจุดที่ยุโรปเป็นในปัจจุบัน
อันที่จริงแล้ววัฎจักรเศรษฐกิจเช่นนี้เคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ โรมันเรืองอำนาจ (ถนนทุกสายมุ่งเข้าสู่กรุงโรม) ก่อนเปลี่ยนมาเป็นยุคทองของยุโรปสมัยล่าอานิคม จนกระทั่งล่าสุดเป็นสหรัฐอเมริกา (ผู้ชนะที่แท้จริงในสงครามโลกครั้งที่ 2) และทุกครั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหล่านี้ก็ทำผิดซ้ำรอยเดิม ถ้าครั้งต่อไปจะเป็นคราวของประเทศเกิดใหม่บ้างก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่สำคัญผู้เขียนเชื่อว่าคำพยากรณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผู้เขียนอย่างแน่นอน ถ้าโลกไม่แตกสลายไปเสียก่อน
สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามบทความเรื่อง วิกฤติหนี้ยุโรป อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งสามตอนมาโดยตลอด หวังว่าเป็นอย่างยิ่งว่างานเขียนของข้าพเจ้าทั้งสามตอนจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ความบันเทิง และเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย หากมีความผิดพลาดประการใดในบทความดังกล่าวผู้เขียนขอน้อมรับข้อผิดพลาดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว พบกันในโอกาสต่อไปครับ ^_^
งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อสังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น
ลงทุนในกองทุนรวมที่ยอดเยี่ยม ปรึกษา FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะเป้าหมายการลงทุนแตกต่างกัน จึงต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด
ดูพอร์ตกองทุนแนะนำอ่านบทความนี้บนแอป พร้อมแจ้งเตือนข้อมูลและสิทธิประโยชน์ดีๆ และลองใช้ PORT