
ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ (Retail Sales) เพิ่มขึ้น 0.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และสูงกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ โดยแรงหนุนหลักมาจากร้านค้าออนไลน์ เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬา สะท้อนกำลังซื้อจากฤดู Back-to-School ขณะที่ยอดขายรถยนต์แม้โตช้าลง แต่ก็ยังไม่เป็นตัวฉุดหลัก
ทั้งนี้ 9 จาก 13 หมวดค้าปลีกขยายตัว ถือเป็นสัญญาณว่าแม้ผู้บริโภคจะกังวลเศรษฐกิจและเจอของแพงจากภาษี แต่ยังคง “ควักกระเป๋า” จับจ่าย โดยเฉพาะชนชั้นกลาง–บนที่ได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นขาขึ้นและค่าจ้างที่ยังเหนือเงินเฟ้อ
ตรงกันข้ามกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ภาคอุตสาหกรรมยังอ่อนแรง Industrial Production เดือนสิงหาคมเพิ่มเพียง 0.1% หลังจากหดตัวในเดือนก่อน โดยได้แรงหนุนเล็กน้อยจากการผลิตรถยนต์ วัสดุก่อสร้าง และสิ่งทอ แต่การใช้ไฟฟ้าและสาธารณูปโภคลดลงแรงถึง 2% ขณะที่การลงทุนเอกชนยังถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เมื่อรวมกันแล้ว ภาพเศรษฐกิจที่ออกมาจึง “มีทั้งแสงและเงา” คือ ผู้บริโภคยังจับจ่าย แต่ภาคแรงงานและการผลิตแผ่วลง ทำให้ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมสัปดาห์นี้ เพื่อลดแรงกดดันต่อการจ้างงานและป้องกันการชะลอตัวลุกลาม ขณะเดียวกัน ตลาดให้โอกาสสูงว่า Fed อาจต้องหั่นเพิ่มอีกทั้งเดือนตุลาคมและธันวาคม
ไม่เพียงข้อมูลเศรษฐกิจที่บีบคั้น Fed แต่ยังรวมถึงแรงกดดันทางการเมือง เมื่อทรัมป์โจมตี Fed ต่อเนื่อง เรียกร้องให้ลดแรงกว่าที่คาด พร้อมทั้งแต่งตั้งคนใกล้ชิดอย่าง สตีเฟน มิแรน เข้าสู่บอร์ด Fed ทำให้การประชุมครั้งนี้อาจเต็มไปด้วย “ความตึงเครียดเชิงการเมือง” มากกว่าปกติ
ขณะที่เศรษฐกิจจริงดูเปราะบาง ตลาดหุ้นกลับพุ่งแรง S&P 500 และ Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่ หนุนโดยกระแส AI และความหวังต่อดอกเบี้ยขาลง
ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนของ Bank of America ระบุว่า การถือหุ้นพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่สัดส่วนเงินสดร่วงลง บรรยากาศจึง “Bullish” ชัดเจน แม้ยังไม่ถึงขั้นฟองสบู่ แต่ก็บ่งชี้ว่านักลงทุนกำลังเดิมพันว่า Fed จะอุ้มเศรษฐกิจได้
แต่ในเอเชียภาพกลับไม่สดใสเหมือนฝั่งสหรัฐฯ เพราะมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของทรัมป์กำลัง “กัดกิน” ผลประกอบการบริษัทส่งออก โดยเฉพาะไต้หวันและเกาหลีใต้ ที่พึ่งพาการผลิตชิปและสินค้าเทคโนโลยีเป็นหลัก
กองทุนใหญ่ทั้ง Franklin Templeton และ T. Rowe Price เตือนว่าตลาดกำลัง “มองโลกสวยเกินไป” และยังไม่ได้สะท้อนแรงกดดันจากภาษีเต็มที่ แม้ MSCI Asia พุ่งกว่า 20% ในปีนี้จนทำสถิติสูงสุดรอบใหม่ก็ตาม
อ้างอิง: Bloomberg