
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนได้เปิดฉากอีกครั้ง เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ และสี จิ้นผิง ต่างยกระดับมาตรการตอบโต้กันบนเวทีการค้าโลก
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม จีนประกาศใช้กฎควบคุม “แร่หายาก” เข้มงวดที่สุดในรอบหลายปี กำหนดให้ผู้ส่งออกต่างชาติที่ใช้วัตถุดิบชนิดนี้ต้องขอใบอนุญาตพิเศษจากกระทรวงพาณิชย์ โดยอ้างเหตุผลเรื่อง “ความมั่นคงแห่งชาติ” แต่ในสายตาวอชิงตัน มาตรการนี้คือการตอบโต้โดยตรงต่อข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและการส่งออกชิปของสหรัฐ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ โต้กลับทันทีบน Truth Social ว่า “จีนกำลังเล่นเกมอันตราย” พร้อมประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนทุกประเภทอีก 100% และจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ทั้งหมดไปยังจีน มีผลตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน
ทรัมป์ย้ำว่า “หากจีนยังเดินในเส้นทางผิด สหรัฐจะใช้มาตรการตอบโต้เต็มรูปแบบ” ขณะที่ปักกิ่งตอบกลับด้วยถ้อยคำเยือกเย็นแต่แข็งกร้าวผ่านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศว่า “หากสหรัฐยังเดินผิดทาง จีนจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิ์อันชอบธรรมของตน”
แม้รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ จะพยายามลดแรงปะทะ โดยระบุว่าสหรัฐ “ยังเปิดทางเจรจา หากจีนตอบสนองด้วยเหตุผล” แต่บรรยากาศกลับไม่คลี่คลายลง ตลาดหุ้นทั่วโลกยังผันผวน S&P 500 แกว่งตัวแรง ขณะที่ราคาทองคำและน้ำมันดีดขึ้นจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
นักวิเคราะห์จาก โกลด์แมน แซคส์ มองว่า ทั้งสองฝ่ายอาจ “ถอยกันคนละก้าว” เพื่อยืดเวลาหยุดยิงภาษีที่ตกลงไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมออกไปแบบไม่มีกำหนด ทว่าความเป็นจริงคือไม่มีฝ่ายใดยอมลดท่าทีลงจริง ต่างพยายามใช้ “เศรษฐกิจเป็นอาวุธต่อรอง” ในแบบของตน
ฝั่งสหรัฐมองว่าการจำกัดส่งออกแร่หายาก วัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ชิป และอาวุธยุทโธปกรณ์ คือการ “ชี้ปืนใส่โลกเสรี” ดังที่รัฐมนตรีคลัง สก็อต เบสเซนท์ กล่าวไว้ว่า
“นี่คือจีนปะทะโลกเสรี เราจะไม่ยอมให้พวกเขาควบคุมห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลกได้ตามใจ”
ในขณะที่ปักกิ่งโต้กลับว่า สหรัฐกำลัง “เล่นการเมืองมากกว่าทำการค้า” ด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือบีบจีนทางเศรษฐกิจ และโยงเข้ากับแรงกดดันทางการเมืองภายในของทรัมป์ ที่ต้องการคะแนนนิยมจากชาวนาอเมริกันซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่จีนหยุดซื้อถั่วเหลือง
การเผชิญหน้ารอบใหม่นี้จึงไม่ใช่เพียง “สงครามการค้า” แต่คือการต่อสู้เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อแสดงว่าใครคือผู้นำเศรษฐกิจโลกตัวจริง
ศาสตราจารย์ โจเซฟ เกรกอรี มาฮอนนีย์ จากมหาวิทยาลัย East China Normal กล่าวกับ Bloomberg ว่า
“นี่ไม่ใช่เกมระหว่างสองประเทศ แต่มันคือการวัดกันระหว่างโมเดล 2 แบบ คือ ทุนนิยมแบบอเมริกัน กับทุนนิยมแบบอำนาจรัฐของจีน”
เขาเสริมว่า ทรัมป์ต้องการ “ดีล” ก่อนศาลสูงตัดสินคดีภาษี ขณะที่จีนรู้ดีว่าตัวเอง “ทนแรงกดดันได้มากกว่า”
อ้างอิง: Bloomberg