ตราบใดที่เราไม่ยอมแพ้กับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ยังคงมุ่งมั่นสู้ต่อไป โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จก็จะมีมากขึ้น อย่างน้อยขอให้เราได้ลองลงมือทำอะไรสักอย่าง นั่นก็ถือว่าเป็นการเพิ่มโอกาสทำเงินให้เราแล้ว ในทางตรงกันข้าม หากสิ่งที่เราทำมีเพียงคิดว่าอยากจะรวยแต่ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ความรวยก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับเรา

ในชีวิตจริงนั้น เกรดไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป การที่เราเรียนเก่ง แม่นตำราทฤษฎี ไม่ได้ช่วยให้สามารถเอาตัวรอดได้ในสนามประลองจริง ในทางกลับกัน คุณสมบัติอื่นๆ เช่น ความกล้าหาญ ความมีสติสัมปชัญญะ ความมีเล่ห์เหลี่ยม ความอดทน ต่างมีส่วนในการช่วยให้เราก้าวกระโดดทั้งนั้น

พิสูจน์กันตรงนี้แหละ! คนที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งนั้น แม้จะเลิกทำงานไปแล้ว เขาก็จะยังคงสามารถทำเงินได้จากสินทรัพย์ที่ตัวเองครอบครองอยู่ และใช้ชีวิตได้จากเงินเก็บที่ทยอยสะสมมาตลอด ดังนั้น หากเราไม่รู้จักเก็บออมหรือลงทุน ใช้เงินแบบเดือนต่อเดือน เมื่อถึงเวลาที่เราต้องเลิกทำงาน ไม่มีเงินเดือนมาหล่อเลี้ยง ก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าชีวิตเราจะเป็นแบบไหน!?

เดี๋ยวนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลกันได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นข้อมูลจากอีกซีกโลกก็ตาม ฉะนั้น ถ้าใครครอบครองข้อมูลมากที่สุด คนคนนั้นย่อมมีโอกาสหาประโยชน์จากข้อมูลนั้นๆ ได้มากกว่าคนอื่น ในขณะเดียวกัน การมีเพียงข้อมูลแต่ถ้าไม่รู้จักวิธีวิเคราะห์เชื่อมโยง ข้อมูลนั้นย่อมเปล่าประโยชน์ นอกจากข้อมูลจะสำคัญแล้ว การทำความเข้าใจมันก็สำคัญไม่แพ้กัน

การตั้งคำถามอยู่เสมอเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยกระตุ้นสมองให้คอยคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นักลงทุนก็เช่นกัน สามารถหลุดจากกรอบเดิมๆ ด้วยการตั้งคำถามที่ท้าทายความคิด ดังเช่น 3 คำถามข้างต้นนั้น

การผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของกระบวนการการเรียนรู้ หากเราอยากเชี่ยวชาญในเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง เราจะต้องฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ซึ่งการฝึกฝนนั้นย่อมหนีไม่พ้นความผิดพลาด ฉะนั้น อย่ากลัวความผิดพลาด แต่ให้เตรียมใจพร้อมเผชิญกับมัน และปลอบใจตัวเองว่าเราจะต้องได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากความผิดพลาดเหล่านั้นบ้างแหละ

เคยได้ยินว่ามนุษย์เราใช้ศักยภาพจากสมองแค่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น สิ่งนี้อาจจะเป็นขีดจำกัดของมนุษย์ในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงเราสามารถเพิ่มศักยภาพด้วยการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง คนที่เก่งๆ หากไม่มีความมั่นใจที่จะทำอะไรสักอย่าง เขาก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความเก่งของเขาได้ ดังนั้น การมีความคิดเป็นบวก เชื่อว่า ‘ฉันทำได้’ จึงสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมาก

ยิ่งสินค้าหรือบริการนั้นตอบโจทย์ปัญหาของผู้คนได้มากเท่าไร คนก็พร้อมที่จะเสียเงินให้มากเท่านั้น คนเราไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการที่ชีวิตจะสะดวกสบายขึ้น หากใครสามารถแกะปริศนานี้ได้ ก็จะค้นพบเจออีกหนทางในการทำเงิน ไม่ว่าเราจะเป็นนักธุรกิจ หรือนักลงทุน

การมีเงินเยอะไม่ได้หมายความว่าเราจะชนะเสมอไป เพราะหากเราบริหารเงินไม่ดี เงินนั้นก็จะหายวับไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราควรเรียนรู้วิธีบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งเงินส่วนหนึ่งเก็บไว้ยามฉุกเฉิน ส่วนหนึ่งสำหรับลงทุนเพื่อให้งอกเงย อีกส่วนก็ใช้จ่ายอย่างมีสติ ก็จะช่วยให้เรามีสถานะการเงินที่มั่นคง ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินๆ ทองๆ

หากไม่มีเหตุผลและเป้าหมายที่ช่วยสนับสนุนว่าทำไมเราถึงควรทำสิ่งนั้น เราก็จะรู้สึกว่าสิ่งนั้นช่างยากเย็น และไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม การสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้เราพอมองเห็นภาพว่าเราควรจะต้องทำอะไรเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น มันจะช่วยให้เราวางแผนได้ดีขึ้น คิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ยากก็อาจจะไม่ยากเสมอไป

ผู้ชนะจะมองความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของเกมการแข่งขัน ยิ่งแพ้ พวกเขาจะยิ่งมีแรงกระตุ้นอยากชนะยิ่งขึ้นไปอีก ตรงกันข้าม ผู้แพ้มักจะกลัวความล้มเหลว และเมื่อต้องเผชิญความล้มเหลวเมื่อไร พวกเขาก็จะถอดใจโดยง่าย เห็นว่าเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด แทนที่จะเอามาเป็นเชื้อเพลิงเติมความมุ่งมั่นตั้งใจพุ่งสู่เป้าหมายต่อไป

แน่นอนว่าบางครั้งเราก็ต้องฝืนใจทำอะไรที่ไม่อยากทำแต่จำเป็นต้องทำ ครั้งต่อไปที่เจอแบบนี้ ให้ลองถามตัวเองว่าเราจะได้อะไรจากการทำสิ่งนี้บ้าง เชื่อว่าเราจะต้องได้อะไรกลับคืนมาบ้าง อาจจะเป็นการได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือการพบเจอคนใหม่ๆ ลองพยายามคิดถึงสิ่งดีๆ ที่จะได้เข้าไว้ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เราอยากทำสิ่งนั้นๆ

คนส่วนใหญ่มักจะได้เงินมาด้วยการทำงานแลกหยาดเหงื่อและเวลา ส่วนคนรวยนั้นจะให้สินทรัพย์ที่ตัวเองถืออยู่ทำงานให้ตัวเอง การที่คนรวยสามารถทำอย่างนี้ได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขามีเงินเยอะมากพอที่จะทำให้ผลตอบแทนเยอะตามไปด้วย แต่ขณะเดียวกันคนรวยเหล่านี้ก็ต้องรู้จักบริหารเงินเป็น เพราะถ้ารวยแต่ใช้เยอะ พวกเขาก็ไม่สามารถรักษาความมั่งคั่งไว้ได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินสู้คนรวยไม่ได้ แต่ถ้าเราหมั่นสะสมลงทุนไปทีละนิดให้เงินงอกเงยขึ้นเรื่อยๆ สักวันเงินก้อนนั้นก็จะใหญ่ขึ้นมากพอที่จะช่วยหล่อเลี้ยงเราได้

เราอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา ปรับตัวยืดหยุ่นได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเรามัวแต่พึ่งความรู้เดิมๆ เราก็จะไม่มีวันตามโลกทัน และจะกลายเป็นคนล้าหลังในที่สุด

4 อย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจหากอยากประสบความสำเร็จกับการบริหารเงิน ความรู้ทางบัญชีช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างทางการเงินของบริษัทต่างๆ และยังช่วยให้เราสามารถบริหารเงินเบื้องต้นของตัวเองได้ ความรู้การลงทุนช่วยให้เราสามารถเพิ่มพูนเงินที่เรามีอยู่ การเข้าใจตลาดช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีขึ้น เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุน และความรู้เรื่องกฎหมายก็ช่วยให้เรารู้ทันสิทธิประโยชน์และช่องโหว่ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากมีใครคิดจะเอาเปรียบเรา

ความกลัวและความโลภเป็นสองอารมณ์สำคัญซึ่งมีส่วนอย่างมากในการตัดสินใจ ซึ่งหากเราไม่รู้เท่าทันมากพอ เราอาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้ ทางที่ดีเราไม่ควรตัดสินด้วยอารมณ์อย่างเดียว แต่ควรหาข้อมูลประกอบ หาเหตุผลมารองรับการตัดสินใจนั้นๆ ด้วย เพื่อที่ว่าเราจะได้วิเคราะห์ได้อย่างถ้วนถี่ว่าการตัดสินใจนั้นๆ เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่

หลายคนอาจจะคิดว่าความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ดี แต่ในแง่มุมของการเงินนั้น หากมัวแต่ยึดติดกับความปลอดภัย ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอื่นๆ เราก็จะไม่สามารถหลุดพ้นจากวังวนเดิมได้ เราก็จะติดอยู่กับงานเดิม เก็บเงินแบบเดิม ไม่สามารถที่จะก้าวกระโดดไปจากจุดนี้ได้

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่าความเสี่ยงปรากฎอยู่ทุกที่ หากเรามัวแต่หาทางหลีกหนีความเสี่ยง เราก็จะไม่กล้าทำอะไรเลย และนั่นก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ปิดกั้นโอกาสดีๆ อีกมากมาย ทางที่ดีเราควรรู้จักวิธีบริหารความเสี่ยง รู้ว่าความเสี่ยงแบบไหนที่เรารับได้ และวางแผนว่าหากเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เรามีวิธีรับมือเพื่อลดความเสี่ยงอย่างไร

เพราะคนรวยมักจะถือสินทรัพย์เอาไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ ธุรกิจส่วนตัว หรือทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างกระแสเงินให้พวกเขา เปรียบเสมือน ‘เงินเดือน’ ของคนรวย พวกเขาจึงให้ความสนใจกับสินทรัพย์มาก ในทางตรงกันข้าม คนส่วนใหญ่จะสนใจแค่เงินเดือนและใช้จ่ายจากเงินเดือนนั้นๆ

การสร้างบริษัทหรือการลงทุนนั้นเปรียบเสมือนเกม คือมีชนะกับแพ้ เราต้องทำใจยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้ได้ หากเราอยากจะประสบความสำเร็จในสมรภูมินี้ ไม่มีใครที่จะชนะหรือแพ้ได้ตลอด อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือเราควรจะเรียนรู้จากชัยชนะและการแพ้ในแต่ละครั้ง จึงจะสามารถช่วยให้เราพัฒนาตัวเองให้เก่งยิ่งขึ้นได้

การที่เราจะรวยได้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนขึ้นอยู่กับการปฏิบัติทั้งสิ้น หากรู้ทฤษฎีเยอะมากแต่ไม่ลงมือปฏิบัติเลย เราก็จะไม่มีวันรวย ทุกโอกาสจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือทำ

สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับเงินในชีวิตของเรานั้นสามารถแบ่งได้ง่ายๆ เป็นสองประเภท นั่นก็คือสินทรัพย์กับหนี้สิน หลายๆ คนยังไม่เข้าใจข้อนี้ เพราะยังคงทยอยสะสมสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ โดยเข้าใจว่ามันคือสินทรัพย์ ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งของเหล่านั้นไม่ได้ผลิตความมั่งคั่งเพิ่มให้เราเลยสักนิด สิ่งที่จะเป็นสินทรัพย์ได้ต้องเป็นสิ่งที่มีความสามารถในการสร้างเงินให้เรา และเราควรที่จะโฟกัสกับการสะสมสินทรัพย์

แม้ว่าเราจะหาเงินมาได้หนึ่งล้านบาท แต่หากเราใช้จ่ายเกินตัวจนเป็นหนี้ รายได้ที่มากมายก็ไม่มึความหมายอะไร ในทางตรงกันข้าม หากเราหาเงินมาได้หนึ่งหมื่นบาท แต่รู้จักจัดสรรเงิน เก็บออมเดือนละสองพัน ก็ถือได้ว่าเรามีเงินได้สุทธิสูงกว่าคนที่ได้หนึ่งล้านบาทแล้ว ด้วยเหตุนี้การรู้จักบริหารจัดสรรเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

การสร้างเครือข่ายมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะการรู้จักคนจากหลายๆ อุตสาหกรรม หลายๆ แขนงความรู้ ช่วยเพิ่มโอกาสในการก้าวหน้าให้ตัวเองและเพิ่มโอกาสสร้างความรู้ ในทางตรงกันข้าม การเสาะหาแต่งานอย่างเดียวนั้นปิดกั้นโอกาสใหม่ๆ ที่ตัวเองอาจจะได้รับจากแวดวงเครือข่ายที่กว้างกว่า

ความแตกต่างมีเพียงลำดับ! คนที่รวยนั้นจะให้ความสำคัญกับการลงทุนให้เงินงอกเงยมากๆ เขาจะจัดสรรเงินอย่างเป็นระเบียบชัดเจนว่าก้อนไหนเอาไปลงทุน ในขณะเดียวกัน หลายๆ คนยังคงถือคติใช้จ่ายก่อน เหลือเท่าไรค่อยไปลงทุน ความคิดนี้อันตรายเพราะเป็นการยากที่เราจะควบคุมการใช้จ่ายเงินของเรา เสี่ยงต่อการ ‘มีเยอะใช้จ่ายเยอะ’ จนทำให้ไม่มีเงินเก็บ

ไม่ต้องเสียใจไปหากค้นเจอว่าเรามีข้อบกพร่องบางอย่าง เพราะทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องกันทั้งนั้น ทางที่ดีคือเราควรจะหาทางแก้ไขข้อบกพร่องนั้นด้วยการเรียนรู้พัฒนาตัวเองให้มากขึ้น การมัวแต่โทษปี่โทษกลองไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะนอกจากจะไม่ได้พัฒนาตัวเองแล้ว ยังทำให้เรากลายเป็นคนทัศนคติไม่ดี และอาจทำให้คนอื่นๆ รู้สึกไม่ดีกับเราได้

การอยากซื้อของอะไรสักอย่างนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เราสามารถเปลี่ยนความอยากนี้มาเป็นตัวกระตุ้นในการมุ่งหน้าสร้างความมั่งคั่งได้ เพราะเมื่อเราตั้งคำถามว่าเราจะสามารถได้เงินก้อนนี้มาอย่างไร นั่นหมายความว่าเราจะต้องหาคำตอบให้ได้ และถ้าเรามีความคิดจิตใจที่แข็งแกร่งมุ่งมั่นมากพอ เราก็จะคิดวางแผนหาทางสร้างเงินก้อนนั้น

เพราะทุกๆ ความสำเร็จนั้นย่อมต้องผ่านการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้มักจะมาพร้อมความล้มเหลวที่หลายคนรู้สึกว่าไม่อยากจะพบเจอ หารู้ไม่ว่ายิ่งเรากลัวความล้มเหลว ไม่กล้าเผชิญหน้าความเสี่ยงทั้งหลาย เราจะไม่มีวันเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จเลย

หากเราต้องทำงาน อย่าคิดว่าจะทำงานเพื่อเงิน เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขได้อย่างเต็มที่แล้ว เรายังไม่สามารถเลิกทำงานได้อีกด้วย เพราะหากเราหยุดทำงานเมื่อไร นั่นหมายความว่ารายได้ของเราก็จะหยุดตามไปด้วย ในทางกลับกัน ให้ทำงานด้วยความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง เราจะรู้สึกว่าเราได้กำไรสองเด้ง และมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน

หลายๆ คนมักจะมีเป้าหมายว่าอยากทำงานในบริษัทที่มั่นคง หารู้ไม่ว่านั่นถือเป็นอีกกับดักหนึ่งที่กีดกั้นไม่ให้เราเสาะแสวงหาวิธีการทำเงินใหม่ๆ และทำให้เราติดอยู่กับวงจรเดิมๆ ในขณะเดียวกัน คนที่รวยจะเห็นโอกาสสร้างความมั่งคั่งจากการเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัทที่มีความมั่นคง เพราะบริษัทที่ดีนั้นเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ผลิตความมั่งคั่งให้กับผู้ใดก็ตามที่ครอบครองมัน

ความคิดของเรานั้นสามารถนำมาซึ่งโอกาสและความมั่งคั่งมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะฝึกฝนความคิดเราให้แข็งแกร่ง มุ่งเน้นเสาะหาวิธีการสร้างความมั่งคั่งหรือเปล่า ยิ่งฝึกมากเท่าไร เราก็จะยิ่งเก่งมากเท่านั้น

ข้อมูลอ้างอิง

http://tradingcomposure.com/25-insightful-quotes-from-rich-dad-poor-dad-by-robert-t-kiyosaki/

http://www.businessinsider.com/money-lessons-rich-dad-poor-dad-2015-10

https://www.leaderwings.co/book/70-secret-richdad-poordad/

https://www.goodreads.com/work/quotes/3366043-rich-dad-poor-dad