กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ เปิดสาเหตุหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าสุดในรบ 4 ปีครี่ง เกิดจากธุรกิจการซื้อขายทองคำที่ทำให้เกิดแรงขายดอลลาร์จำนวนมาก พร้อมออกมาตรการคุ้มเข้มเทรดทอง เก็บภาษี-กำหนดเพดานรายวัน

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์เงินบาทตั้งแต่ต้นปี 2568 แข็งค่าขึ้นประมาณ 9.4% ถือว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของภูมิภาค เป็นรองเพียงมาเลเซีย ซึ่งอยู่ที่ 9.5% เท่านั้น
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือความรวดเร็วของการแข็งค่า เพียงเดือนนี้เดือนเดียว เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 4.2% ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วเกินไป และไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าปัจจัยหลักที่กดดันให้เงินบาทแข็งค่ามาจากธุรกรรมทองคำ เพราะคนไทยมีพฤติกรรมขายทองเมื่อราคาทองโลกพุ่งสูงขึ้น เมื่อมีการขายทองผ่านแอปฯ ร้านทองจะต้องนำทองไปขายในตลาดโลกเพื่อรับเงินดอลลาร์ แล้วนำดอลลาร์มาขายเพื่อซื้อเงินบาทคืนลูกค้า ซึ่งปริมาณการขายดอลลาร์จากธุรกรรมทองคำมีสัดส่วนสูงถึง 45-62% ของแรงขายดอลลาร์ทั้งประเทศ ในบางช่วงเวลา

มูลค่าการซื้อขายทองคำเฉลี่ยต่อวันในปัจจุบันสูงถึง 65,000 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) อยู่ที่ประมาณ 42,000 ล้านบาทต่อวันเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่ราคาทองคำมีความผันผวนสูง ปริมาณการซื้อขายทองในวันเดียวเคยพุ่งสูงถึง 255,000 ล้านบาท

ดังนั้น กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จึงเตรียมออก 3 มาตรการเพื่อควบคุมการซื้อขายทองคำออนไลน์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า

1. ให้แพลตฟอร์มซื้อขายทอง ต้องรายงานข้อมูลแก่กรมสรรพากร เพื่อให้ภาครัฐเห็นความเคลื่อนไหวของเม็ดเงินและปริมาณการซื้อขายที่แท้จริง

2. พิจารณาเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเน้นกลุ่มที่เก็งกำไรโดยไม่มีการส่งมอบทองคำจริง (Non-physical delivery)

3. การกำหนดเพดานวงเงินซื้อขาย เพื่อดูแลปริมาณการทำธุรกรรมที่เหมาะสม และป้องปามกลุ่ม “Hot Money” ที่เทรดหมุนเวียนวันละหลายร้อยล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงิน


มุมมอง Finnomena Funds

ตั้งแต่ต้นปี 2025 เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับหลายสกุลเงิน (ยกเว้น MYR) แม้ว่าที่ผ่านมา แบงก์ชาติแทรกแซงค่าเงินผ่าน FX reserve และ Forward Position

แต่อย่างไรก็ตาม เงินบาทก็ยังแข็งกว่า Consensus ที่ Economist ประเมินแล้ว และ USDTHB กำลังทดสอบแนวรับ 31.06

ในขณะเดียวกัน Dollar Index (DXY) ก็มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีก เนื่องจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีหน้า ซึ่งสวนทางกับ BoJ ที่มีแนวโน้มเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ECB ที่สิ้นสุดการลดดอกเบี้ยแล้วและตลาดเริ่มคาดการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2027 ประกอบกับกระแส De-dollarization ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มสะสมทองคำเข้าทุนสำรองเพิ่มขึ้น

อีกทั้งค่าเงินบาทยังมีปัจจัยหนุนให้แข็งจาก Balance of Payment เป็นบวก หนุนจาก Current Account และ Net Errors & Omission ที่เป็นบวกตัวเนื่อง รวมถึงเงินเฟ้อไทยที่ยังต่ำ

กลยุทธ์การลงทุน Finnomena Funds แนะนำกองทุนที่ได้ประโยชน์จาก Dollar อ่อนค่า อย่างกองทุน TEMxCH ซึ่งเน้นลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอินเดีย


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Tax Cal