สิ้นสุด Government Shutdown

วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังเร่งผ่านร่างงบประมาณชุดสุดท้าย เพื่อยุติภาวะ “ชัตดาวน์” ที่ลากยาวจนกลายเป็นหนึ่งในวิกฤตทางการเมือง–เศรษฐกิจที่ยืดเยื้อที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ 

ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาว่าการกลับมาเปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลจะช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เพียงใด หลังข้อมูลสำคัญด้านการจ้างงานและรายได้ถูกระงับการเผยแพร่ไปหลายสัปดาห์

ในช่วงเวลาที่การบริหารประเทศชะงัก การตัดสินใจเชิงนโยบายกลับต้องเดินต่อ โดยเฉพาะจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งเพิ่งลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่กรอบ 3.75–4% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในปีนี้ 

พร้อมประกาศ ยุติมาตรการนโยบายการเงินแบบตึงตัว (QT) หลังปรับลดการถือครองพันธบัตรและตราสาร MBS ไปแล้วกว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ เหลืองบดุลรวมราว 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางสำคัญของนโยบายการเงิน

เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed เตือนว่าการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม “ยังไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน” และ “อยู่ห่างไกลจากข้อสรุป” คำพูดไม่กี่ประโยคนี้สะเทือนตลาดการเงินทันที ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลพุ่งกลับเหนือ 4% ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ พลิกจากบวกเป็นลบในช่วงท้ายการซื้อขาย

ท่าทีระมัดระวังของ Fed สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญแรงกดดัน 2 ทาง ทั้งเงินเฟ้อที่ยังสูงเหนือเป้าหมาย 2% และตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง 

ข้อมูลเอกชนจาก ADP ชี้ว่าการจ้างงานเดือนกันยายนลดลงกว่า 32,000 ตำแหน่ง แม้พาวเวลล์ยืนยันว่าตลาดแรงงานยังไม่ทรุดตัว แต่ก็พูดเปรียบเปรยไว้ว่า “เมื่อคุณขับรถในหมอก สิ่งที่ควรทำคือชะลอความเร็ว”

การเปรียบเปรยนั้นสะท้อนสถานการณ์จริงที่ Fed กำลังเผชิญ นั่นคือการขับเคลื่อนนโยบายในภาวะที่ข้อมูลขาดหายจากรัฐบาลชัตดาวน์ ทำให้การประเมินภาพเศรษฐกิจเต็มไปด้วยช่องว่าง 

ขณะเดียวกัน การยุติ QT ยังบ่งชี้ว่าธนาคารกลางเริ่มกังวลต่อสภาพคล่องในตลาดการเงินระยะสั้น หลังจากดูดซับเงินออกจากระบบมากว่า 2 ปี

ภายในคณะกรรมการ FOMC ยังมีความเห็นแตกต่างอย่างชัดเจน กรรมการ 2 คนลงมติ “คัดค้าน” การตัดสินใจครั้งนี้ 

คนแรกคือ สตีเฟน มิแรน ต้องการให้ลดแรงกว่าที่ 0.5% ขณะที่ เจฟฟรีย์ ชมิด จาก Fed แคนซัสซิตี้ เห็นควร “ไม่ลดเลย” ความแตกแยกนี้ชี้ว่าภายในธนาคารกลางเองก็ยังไม่เห็นพ้องในแนวทางนโยบายระยะต่อไป

ขณะเดียวกัน ตลาดรอการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่ที่จะทยอยออกหลังรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ ทั้งตัวเลขจ้างงาน รายได้ส่วนบุคคล และยอดค้าปลีก ซึ่งจะเป็นสัญญาณสำคัญบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเดินเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หรือเพียงแค่ “พักหายใจ”


อ้างอิง: CNBC

Tax Cal