หุ้นเติบโต หุ้นคุณค่า

นักลงทุนทั่วโลกกำลังทยอยขายหุ้นเติบโตในสหรัฐฯ และหันไปถือหุ้นคุณค่าในต่างประเทศมากขึ้น สัญญาณนี้สะท้อนการเปลี่ยนทิศของกระแสเงินลงทุนระดับโลก ที่เริ่มตั้งคำถามว่า “ความร้อนแรงของตลาดสหรัฐฯ” จะยืนยาวได้อีกนานเพียงใด

ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 เงินทุนไหลออกจากกองทุนหุ้นเติบโต (Growth Funds) ในสหรัฐฯ กว่า 152,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี ขณะที่ดัชนี S&P 500 ยังทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้จึงไม่ได้เกิดจากความตื่นตระหนก แต่เกิดจากการประเมินใหม่ของนักลงทุนสถาบันว่าหุ้นอเมริกาอาจ “แพงเกินไป” เมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตในอนาคต

ในอีกฟากของโลก หุ้นคุณค่า (Value Stocks) ในยุโรป ญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจากกองทุนบำนาญและผู้จัดการสินทรัพย์ขนาดใหญ่ที่เริ่มกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดสหรัฐฯ Sebastien Page หัวหน้าฝ่าย Global Multi-Asset ของ T. Rowe Price ซึ่งบริหารสินทรัพย์กว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวว่า “จากมุมมองด้านมูลค่า เราชอบหุ้นคุณค่าต่างประเทศมากกว่า โดยเฉพาะยุโรปและเอเชีย เพราะยังราคาถูกและพื้นฐานแข็งแรง”

แม้กลุ่มเทคโนโลยีที่นำโดย “Magnificent 7” ยังเป็นหัวใจของตลาดสหรัฐฯ แต่ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นจนค่า P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 40–50% เริ่มทำให้ตลาดขาดความสมเหตุสมผล นักลงทุนจำนวนมากเริ่มมองว่าช่วงนี้อาจเป็นเวลาที่ควร “พักเงิน” ในสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่า

หุ้นคุณค่าซึ่งเคยถูกมองว่าน่าเบื่อ เช่น กลุ่มธนาคาร พลังงาน และอุตสาหกรรมพื้นฐาน กลับเริ่มกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของเม็ดเงินขนาดใหญ่ เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่สูงเกินพื้นฐาน และหลายบริษัทมีกระแสเงินสดแข็งแรงพร้อมจ่ายปันผล ดัชนี MSCI EAFE Value Index ที่ครอบคลุมยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ปรับขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ขณะที่ค่า P/E ของตลาดเหล่านี้ยังต่ำกว่าสหรัฐฯ ราว 30–40%

John O’Toole จาก Amundi ผู้ดูแลสินทรัพย์กว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ให้ความเห็นว่า “เราไม่ได้เทขายอเมริกา แต่เรากำลังเพิ่มความหลากหลายของพอร์ต และตอนนี้ยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึงตลาดเกิดใหม่ เริ่มมีความน่าสนใจมากกว่าเดิม”

แรงหนุนต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกสหรัฐฯ ยังมาจากปัจจัยมหภาคหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายกว่าของยุโรปและเอเชีย การลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีสะอาด ตลอดจนต้นทุนการลงทุนที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ด้านมูลค่าหุ้น ค่า P/E ของยุโรปอยู่เพียง 13 เท่า เทียบกับกว่า 22 เท่าในสหรัฐฯ

ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นโลกกำลังเข้าสู่ช่วงของการ “ปรับสมดุล” จากยุคของ Growth สู่ Value และจากตลาดสหรัฐฯ สู่ตลาดโลกมากขึ้น การไหลออกของเงินทุนไม่ได้หมายถึงการหนีจากอเมริกา แต่คือการกลับไปสู่จุดสมดุลที่ยั่งยืนกว่า


อ้างอิง: Reuters

Tax Cal