
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณ “ชะลอแต่ยังไม่ทรุด” หลังตัวเลขการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนฟื้นตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่โครงสร้างภายในยังเปราะบาง และข้อมูลถูกบิดเบือนบางส่วนจากผลกระทบของการชัตดาวน์รัฐบาล
การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 64,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ดีกว่าที่ตลาดคาด แต่เป็นการฟื้นตัวหลังเดือนตุลาคมที่การจ้างงานหดตัวแรงถึง 105,000 ตำแหน่ง ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการลดพนักงานภาครัฐครั้งใหญ่ จากนโยบายรัดเข็มขัดและโครงการลาออกล่วงหน้าของรัฐบาลทรัมป์
อย่างไรก็ดี อัตราการว่างงานปรับขึ้นเหนือความคาดหมาย สู่ระดับ 4.6% สูงสุดในรอบกว่า 4 ปี โดยภาพที่น่ากังวลคืออัตราว่างงานของชาวผิวดำพุ่งขึ้นถึง 8.3% และจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าคนตกงานใช้เวลาหางานนานขึ้น แม้ตลาดยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยเต็มรูปแบบ
หากเจาะลึกโครงสร้างการจ้างงาน จะพบว่าการเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่ภาคส่วน โดยเฉพาะ Healthcare และบริการสังคม ซึ่งรวมกันคิดเป็นมากกว่า 70% ของการจ้างงานใหม่ ขณะที่ภาคการผลิตยังไม่เพิ่มตำแหน่งงานเลยตั้งแต่เดือนมีนาคม และอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2022 ส่วนภาคขนส่ง คลังสินค้า และท่องเที่ยว ยังสูญเสียตำแหน่งงานต่อเนื่อง
ข้อมูลยิ่งซับซ้อนขึ้นจากผลของการชัตดาวน์รัฐบาลที่ยืดเยื้อ ทำให้การเก็บข้อมูลจากฝั่งครัวเรือน (household survey) มีความคลาดเคลื่อนสูง นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจึงเลือกดู “การจ้างงานภาคเอกชน” เป็นหลัก ซึ่งแม้จะขยับดีขึ้นเล็กน้อย เฉลี่ยราว 75,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วงหลัง แต่ยังถือว่าต่ำและแคบฐาน
ในแง่นโยบายการเงิน ตัวเลขนี้สนับสนุนมุมมองของ Fed ที่เพิ่งลดดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่สาม แต่ยังไม่มากพอจะกดดันให้ต้องรีบลดต่อในเดือนมกราคม ตลาดยังให้น้ำหนักต่ำกับการลดดอกเบี้ยรอบถัดไป โดยมองว่า Fed จะ “รอดูข้อมูล” มากกว่าตอบสนองทันที
สัญญาณที่ Fed น่าพอใจคือแรงกดดันเงินเฟ้อจากตลาดแรงงานยังไม่ชัด ค่าแรงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพฤศจิกายน และเติบโต 3.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2021 ตอกย้ำว่าตลาดแรงงานไม่ได้เป็นตัวเร่งเงินเฟ้อในรอบนี้
ภาพรวมแล้ว ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะ “จ้างน้อย–เลิกจ้างน้อย” การฟื้นตัวมีจริงแต่จำกัดวง และความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การทรุดตัวฉับพลัน หากแต่อยู่ที่การอ่อนแรงสะสม ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของ Fed ในปี 2026 ว่าจะคุมสมดุลระหว่างเศรษฐกิจที่ชะลอ กับเงินเฟ้อที่ยังไม่ยอมลงสู่เป้าหมาย 2% ได้อย่างไร
อ้างอิง: Bloomberg