world-guru-25-Feb

Smart billionaires buy when everyone else is selling: Buffett and Soros edition
ขึ้นชื่อว่า ”เซียน” ต้องเป็น “ชาวสวน”

ถ้าคำกล่าวสมัยโบราณเป็นจะเป็นจริงที่ว่า “ให้ซื้อตอนที่เลือด(ของนักลงทุน)นองพื้น” การลงทุนในน้ำมันตอนนี้ก็น่าจะเข้าทาง เพราะคนส่วนใหญ่ตอนนี้ล้วนขาดทุนจากราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนโวหารข้างต้นได้เป็นอย่างดี

อย่างน้อยมันก็สามารถอธิบายการตัดสินใจลงทุนของเซียนอย่างบัฟเฟต์และโซรอสรวมถึงเดวิด เทปเปอร์ ในช่วงที่ผ่านมาได้ การเปิดเผยผ่านบัญชีผู้ถือหุ้นบ่งชี้ว่า พวกเขาได้มีการไปลงทุนเพิ่มในหุ้น Houston pipeline company Kinder Morgan (บริษัทวางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานรายใหญ่ในอเมริกาเหนือ) โดยบัฟเฟต์ลงเงินกว่า 400 ล้านเหรียญ (15,000 ล้านบาท) ซึ่งทันทีที่ช่าวดังกล่าวออกสู่สาธารณะ หุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 10%ในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที ทำให้เป็นบัฟเฟต์กำไรทันที 2,000 กว่าล้านบาท โดยก่อนการเด้งของราคาครั้งนี้ หุ้นบริษัทก็ได้ร่วงลงมาแล้วกว่า 70% ในช่วงปีที่ผ่านมา
ในด้านของโซรอส ซึ่งได้มุมมองเชิงลบต่อราคาน้ำมันตลอดมา เริ่มหันกลับมาสนใจร่วมขบวนซื้อด้วยแล้ว แต่ในปริมาณไม่มากเท่าไหร่ (35 ล้านบาท) รวมถึงเดวิด เทปเปอร์ด้วยที่เลือกลงทุนในมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่ทุกคนที่กล่าวมาล้วนถือหุ้นในลักษณะที่ไม่มีอำนาจใดๆในการบริหารจัดการเลย (ไม่เหมือนสาย Activist Investors) ซึ่งถามว่าเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญหรือไม่ หลังการเข้าซื้อบัฟฟเฟต์ถือประมาณ 1.2% ของบริษัท Kinder Morgan และนับเป็นเพียงแค่ 0.3%ในพอร์ตการลงทุน Berkshire Hathaway (ที่มีทรัพย์สิน 5 ล้านล้านบาท) เท่านั้นเอง

KMI
มี 2 แนวความคิดแบบคนปลูกผลไม้ (ชาวสวน) ที่ทั้งคู่เลือกลงทุนในหุ้นทำท่อสายส่งแห่งนี้ อาจมีแรงกระตุ้นมาจากหลักการเดียวกันคือ

เมื่อคนส่วนใหญ่วิ่งไปทางไหน นักลงทุนที่ฉลาดล้ำ มักวิ่งไปทางตรงข้ามเสมอ

ซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันที่ซื้อขายกันอยู่ในระดับเกือบต่ำสุดในรอบ 12 ปี ตลาดต่างมองไปทางเดียวกันว่า ยังเป็นขาลงและคงยากที่จะกลับไปสู่ราคาเฉลี่ยเดิมได้
มุมมองหนึ่งของ Andrew Tobias เจ้าของหนังสือ “The only investment guide you’ll ever need” บอกไว้ว่า

ให้ลองถามตัวเองว่าในตอนนี้ข่าวดีหรือข่าวร้ายจะทำให้คุณประหลาดใจมากกว่ากัน ข่าวด้านไหนที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น ทางนั้นแหละคือทางที่คุณควรจะเลือกทำกำไร

อีกเหตุผลหนึ่งที่อธิบายได้คือ ไม่ว่าราคาน้ำมันจะไปทิศทางไหน บริษัทก่อสร้างท่อขนส่งพลังงาน ก็ไม่ควรจะได้รับผลกระทบมากมายขนาดนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารของบริษัทโต้แย้งเสมอมา ราคาหุ้น Kinder Morgan ไม่ควร และไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวไปทิศทางเดียวกับน้ำมัน (เช่นอย่างที่เป็นในช่วงปี 2015) บริษัทเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในการสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับน้ำมัน และมีรายได้จากการผลิตน้ำมันเพียงแค่ 10% ของรายได้รวมเท่านั้น ส่วนที่เหลือมาจาก ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งราคาค่อนข้างมีเสถียรภาพมากกว่า แต่ราคาหุ้นในตลาดกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

KMI2
บริษัทมีการปรับนโยบายการจ่ายปันผลลง 3 ใน 4 ในช่วงปลายปีเพื่อรักษาเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง โดยผลกำไรของบริษัท จริงๆแล้วก็หดตัวไปกว่า 91% ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาระหนี้ก้อนใหญ่ ความจริงของผลประกอบการอันนี้ สะท้อนให้คิดทบทวนถึง การมองว่าบริษัทอย่าง Kinder Morgan ไม่ควรจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างรุนแรง ยังคงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือไม่ เนื่องจากแนวความคิดนี้ทำให้นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ๆ เจ็บตัวกันหนักมากในช่วงปีที่ผ่านมา

Kinder Morgan มีการปรับโครงสร้างของบริษัทให้มีความชัดเจน โปร่งใสในเรื่องของโครงสร้างการถือหุ้นและระบบภาษี ส่วนหนึ่งเพื่อเอื้อให้นักลงทุนรายใหญ่อย่างบัฟเฟต์และโซรอสสามารถเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งคู่จะทำกำไรได้อย่างมหาศาล ถ้าราคาในอนาคตพิสูจน์แล้วว่า กำไรของบริษัทไม่ควรวิ่งไปพร้อมๆกับราคาน้ำมันขาลง หรือแม้แต่หากราคาน้ำมันมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น หรือทั้งคู่พร้อมกัน เซียนทั้ง 2 คงมีเรื่องให้พูดไปอีกพักใหญ่ จากการที่เป็นผู้นำที่เข้าไปลงทุน”สวน”กระแสก่อนเป็นคนแรกๆ
สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอจากการวิเคราะห์การตัดสินใจเข้าลงทุนของเซียนทั้งสองนี้ คือ พวกเขามีสายป่านที่ยาวมาก ในกรณีที่ “เก็งผิด” พวกเขาสามารถที่จะทนทานต่อการปรับตัวของราคาได้นานกว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด “รอได้”จนกว่าแนวโน้มจะกลับมาสะท้อนแนวความคิดของเขาได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาทำสำเร็จเป็นส่วนใหญ่จากแนวทางลักษณะนี้

Source : http://www.latimes.com/business/hiltzik/la-fi-mh-smart-billionaires-buffett-and-soros-20160217-column.html

Finnomena’s Opinion

แอดมึนเชื่อว่า ไม่แปลกเลยที่การเป็น “ชาวสวน” จะสามารถทำให้เกิดกำไรและ เกิด “เซียน”ขึ้นได้ในทุกรอบของการทิ้งตัวหรือฟื้นตัวแบบแรงๆ แต่ต้องพิจารณาให้ดีว่า ที่เราเห็นๆกัน เขาเหล่านั้นผู้สามารถทำกำไรได้จากกลยุทธ์แบบนี้ คือ “ผู้ที่อยู่รอด” มาพูดเท่านั้น มีอีกมากกว่า 99% ที่อาจสายป่านไม่ยาว ไม่สามารถจะทนทานสวนกระแสนั้นๆได้นานพอ ใจไม่นิ่งจากการทุ่มสุดตัว หรืออาจอยู่ในช่วงปีชง โชคไม่ดี ก็แล้วแต่ การลงทุนทุกครั้งมีความเสี่ยงควบไปด้วยเสมอ แนวความคิดและการวิเคราะห์หุ้นบริษัทนั้นๆของคุณอาจจะถูก แต่อาจไม่ใช่เวลาของมันก็เป็นได้ ทางที่ดี พิจารณากำลังพล สัดส่วนการลงทุนและเงินในกระเป๋าให้ดี เพราะนั้นคือหลักการสำคัญ ในการแยกระหว่าง “การลงทุน” กับ “การพนัน”