5 สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ควรหลีกเลี่ยง

ในยามที่ตลาดหุ้นร้อนแรงเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ตลาดต่างประเทศไม่ว่าจะสหรัฐหรือจีนปรับตัวขึ้น All-time High แทบจะทุกวัน ทางเพจเลยอยากจะแชร์ข้อผิดพลาดที่พบเจอกันได้บ่อย ๆ ในฐานะนักลงทุน

บทความนี้เขียนเพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับที่นักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดทุน หรือหากเป็นนักลงทุนมือเก๋าจะอ่านด้วยก็ไม่ว่ากัน เอาไว้ทบทวนหลีกเลี่ยงการขาดทุนและค้นหาการทำกำไรที่ดีขึ้นได้ด้วยครับ

1. ซื้อหุ้นเพราะกลัวจะตกรถ และ ซื้อหุ้นเพราะความโลภ จากที่หุ้นหลายตัวปรับตัวสูง

ช่วงนี้จะมีกูรูเต็มบ้านเต็มเมืองเสมอในตลาดขาขึ้น บอกว่าตัวนั้นตัวนี้จะขึ้นให้ซื้อตาม แต่ไม่เคยบอกที่มาที่ไป แถมถ้าไม่ซื้อตามแล้วหุ้นขึ้นมีการมาบอกอีกว่าทำไมไม่ซื้อตามเสียดายแทนอะไรแบบนี้

ให้คิดถึงความเสี่ยงขาลงไว้ด้วยเสมอ Buffett เปรียบเทียบการลงทุนหุ้นเหมือนคนตีลูกเบสบอล ให้ตีเฉพาะลูกที่เรามั่นใจ ไม่จำเป็นต้องตีทุกครั้งที่คนขว้างลูกมาหาเรา ทำแบบนี้จะลดโอกาสขาดทุนของเราได้

2. ต่อรองราคาไปเรื่อย ๆ

ข้อนี้จะขอยกตัวอย่างช่วงเกิดวิกฤตไวรัสโควิด จะทราบกันดีอยู่แล้วว่าหุ้นอย่าง Mercado Libre จะต้องได้ประโยชน์เพราะเป็นดั่ง Alibaba แห่งละตินอเมริกา ทำทั้ง E-Commerce และ Payment ซึ่งหลังจากโรคระบาดนี้แพร่กระจาย จะต้องเกิด Adoption มหาศาล

และเป็นหุ้นที่เพื่อนชวนซื้อตั้งแต่ก่อน Covid เราก็ต่อราคามาเรื่อย ๆ ตอนหุ้นถล่ม เราก็เข้าแต่ตัวอื่น ตัวนี้ยังต่ออยู่ เพราะยังไม่ได้ราคาที่ใจต้องการ พอหุ้นเด้ง ก็ยังต่ออีก แอบหวังว่ามันจะย่อแรง ๆ ให้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ารายได้ของ Mercado Libre จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน

ผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น ราคาหุ้นวิ่งมายาวไกลจนกลับไปคิดถึงทีไรก็ต้องเสียดายทุกที กรณีแบบนี้การต่อราคาไม่คุ้มค่าเลยกับผลตอบแทนระยะยาวที่เสียไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์

ดังนั้นหากมั่นใจแล้ว ก็ค่อย ๆ เฉลี่ยซื้อไปก็ได้

3. ไม่มีความอดทนมากพอ

ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน อย่ามองราคาหุ้นรายวัน แต่มองภาพธุรกิจระยะยาว ถ้าหากยังสายตาสั้นอยู่ คุณจะไม่มีโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่จากบริษัท Big Tech อย่าง Apple Amazon หรือ Facebook ได้เลยเพราะพอเป็นบริษัทใหญ่จะมีบางช่วงที่ธุรกิจอืดอาดบ้าง

บริษัทเหล่านี้ก็มีวิธีรีดเอา S-Curve ใหม่ออกมาตอบแทนนักลงทุนได้เสมอ โดยต่อยอดจากธุรกิจเดิม แต่ธุรกิจต้องใช้เวลา อย่าตัดสินใจขายเพียงเพราะราคาหุ้นไม่ขึ้นแค่ 1-2 ไตรมาส

4. Panic Sell โดยปัจจัยที่วิเคราะห์ไม่ได้เปลี่ยน

ข้อนี้นักลงทุนทั่วไปมักจะตกใจเสมอ ถ้ามีนักวิเคราะห์ปรับประมาณการเป้าหมายราคาหุ้นลดลงแล้วสวนทางกับสิ่งที่เราคิด

แต่ระลึกไว้เสมอว่านักวิเคราะห์ก็คนเหมือนกันกับเรา และเค้ามองไกลไม่ได้เพราะราคาเป้าหมายคือระยะเวลา 1 ปีเท่านั้น

ถ้าคุณทนขาดทุน 30% ไม่ได้ คุณก็จะไม่มีทางเห็น 300% ง่าย ๆ เพราะหุ้นทุกตัวที่ขึ้นไปเยอะ ๆ จะต้องมีปรับฐานบ้างเสมอ

นี่ยังไม่รวมการอดทนรวย เวลาที่หุ้นขึ้นไปเยอะ ๆ ย่อนิดหน่อย กำไรคุณก็หายไป 30% แล้ว หากใครถือทนกันตั้งแต่โควิด จะพบว่าการเห็นกำไรหายวับ 100% เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ในเวลานี้

5. ซื้อโดยที่ไม่รู้จักหุ้น ไม่เข้าใจว่าทำธุรกิจอะไร ซื้อเพราะเพื่อนบอกให้ซื้อ

ข้อนี้ฝากทิ้งท้ายไว้ เราควรทำความรู้จักและที่สำคัญต้องอัปเดตข่าวสารของหุ้นของเราเสมอ เพราะเพื่อนอาจจะมาบอกเราตอนซื้อ แต่ไม่บอกตอนขาย เพราะเวลาขายเค้าไม่ว่างมาบอกกันเท่าไหร่หรอก บางทีคุณเจอหน้าเพื่อน เพื่อนก็บอก ไม่เจอหน้า เค้าก็ไม่ได้ว่าง ไม่ได้ใจดี จะส่ง line มาบอกคุณว่าเอ้อ ขายแล้วนะ

“หรือบางทีก็กลัวว่า หากบอกว่าขาย แล้วหุ้นขึ้นต่อ คุณจะไปด่าเค้า” ซึ่งเป็นเรื่องปกติของแวดวงลงทุน เม่าที่นิสัยไม่ดีแบบนี้มีเยอะ

เซียนหุ้นจึงเลี่ยงจะบอก ส่วนใหญ่มีแต่มาขายของ ให้คนซื้อต่อ

และหากต้องการอัปเดตข่าวสารในโลกของการลงทุนแบบสดใหม่ อย่าลืมติดตามเพจ Bottomliner กันไว้ด้วยนะครับ

มีความสุขกับการลงทุนครับ 🙂

BottomLiner

ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlineracademy/posts/115583603830888

iran-israel-war