สรุปทุกอย่างที่ต้องรู้ หุ้น Facebook

1. หุ้น Facebook คือเจ้าของ Facebook, Instagram, WhatsApp และ Messenger ซึ่งมีผู้ใช้รวมกันมากกว่า 2,700 ล้านคน หรือเกือบๆ 1 ใน 3 ของคนบนโลกนี้ Facebook เป็น App ที่คนไทยใช้ทุกวันและใช้เป็นประจำ แต่น้อยคนนักที่จะสนใจลงทุนในบริษัท Facebook ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก หุ้น Facebook มีความน่าสนใจตรงไหน? หุ้น Facebook จะยังเติบโตอีกหรือไม่? 3-4 เดือนที่ผ่านมาหุ้น Facebook ตกหนักเพราะอะไร? มาหาคำตอบกันในบทความครับ

2. หุ้น FB หรือบริษัท Facebook คือ Platform สังคมออนไลน์อันดับหนึ่งของโลก มีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน (MAU) สูงถึง 2,320 ล้านคน ในขณะที่ประชากรโลกมีทั้งสิ้น 7,500 ล้านคน ถ้าเราท่องเที่ยวรอบโลกไปทุกๆประเทศเราจะพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของคนทั้งหมดบนโลกใช้ Facebook

3. ด้วยขนาดผู้ใช้ที่สูงระดับ 2,700 ล้านคนถ้าเทียบเป็นประเทศ  Facebook จะเป็นประเทศที่มีประชากรสูงที่สุดในโลก จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรอันดับ 2 ของโลกที่ 1,380 ล้านคน ไม่น่าเชื่อว่าเว็บไซต์เว็บหนึ่งที่อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่ได้มีที่ดิน ไม่มีรัฐบาล ไม่มีสกุลเงิน จะมีคนใช้ชีวิต (ออนไลน์) อยู่ในเว็บไซต์นี้มหาศาล

4. ในจำนวนผู้ใช้ 2,320 ล้านคนต่อเดือนของ Facebook มีคนที่เปิดใช้ Facebook ทุกวันสูงถึง 1,523 ล้านคน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ใช้ทั้งหมด โดยคนเอเชียคือผู้ใช้ส่วนใหญ่ของ Facebook ในแต่ละวัน และมีจำนวนสูงถึง 577 ล้านคน รองลงมาคือยุโรป 282 ล้านคน และสหรัฐอเมริกา 186 ล้านคน แม้ Facebook จะเกิดในประเทศสหรัฐฯ แต่กลับเติบโตประสบความสำเร็จในประเทศอื่นๆ Facebook คือสินค้าส่งออก Made In USA. ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้ Coca-Cola ที่คนดื่มกันทั่วโลกเลยทีเดียว

5. หุ้น Facebook เข้าตลาดในปี 2012 ด้วยราคา 38 ดอลลาร์ และทยานสู่จุดสูงสุดในปี 2018 ที่ราคา 209 ดอลลาร์ นับเป็นผลตอบแทนประมาณ 4.5 เท่าตัวในระยะเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น ปัจจุบันหุ้น Facebook อยู่ที่ราคาราว 160 ดอลลาร์ หรือเทียบเป็นเงินไทยที่ 4,960 บาทต่อหุ้น ราคานี้ถือว่าใช้เงินในการซื้อต่อหุ้นไม่มาก เพราะถ้าไปเทียบกับ Amazon ที่ราคา 1,650 ดอลลาร์ (51,000 บาท) Google (C) ที่ 1,130 ดอลลาร์ (35,000 บาท) หรือ Netflix ที่ 360 ดอลลาร์ (11,160 บาท) กลายเป็นหุ้น Facebook มีราคาที่ซื้อง่ายขายคล่องเลยทีเดียว

6. ที่ราคา 160 ดอลลาร์ หุ้น Facebook มีมูลค่าตลาดทั้งสิ้นที่ 464,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 14.3 ล้านล้านบาทไทย FB เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า PTT 10 เท่า CPALL 20 เท่า และ BDMS 38 เท่า

7. Facebook ถือเป็นบริษัทใหญ่อับดับ 8 ของโลกรองจาก Microsoft, Apple, Amazon, Google, Berkshire Hathaway (บริษัทของ Warren Buffett) และ Alibaba แม้ Facebook จะเป็นเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาได้เพียง 15 ปี แต่กลับใหญ่กว่าบริษัทชั้นนำอย่าง Johnson & Johnson (133 ปี) Visa (61 ปี) Coca-Cola (132 ปี) และ Walt Disney (95 ปี)

8. ผลประกอบการของหุ้น Facebook เป็นอย่างไร? ในปี 2018 หุ้น Facebook มีรายได้ 55,838 ล้านดอลลาร์ (1.7 ลล.บาท) เติบโตจากปี 2017 ที่มีรายได้อยู่ที่ 40,653 ล้านดอลลาร์ (1.2 ลล.บาท) นับเป็นการเติบโตของรายได้ที่ 37% ถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงมากสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่คนทั่วๆไปมักจะมีความเชื่อว่า “บริษัทใหญ่โตช้า บริษัทเล็กโตเร็ว” (ความเชื่อนี้เหมือนจะใช้ได้ในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้น Technology เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น)

9. ไม่ใช่แค่ Facebook ที่มีรายได้เติบโตสูงได้บริษัทเดียว Microsoft โต 14% Google โต 23% Amazon โต 30% และ Netflix โต 35% โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่บริษัทใหญ่ที่โตช้าแต่เป็นบริษัทใหญ่ที่ไม่ยอมเปลี่ยนและไม่รู้จักเรียนรู้ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่างหากจึงจะเป็นบริษัทที่โตช้า

10. แม้รายได้ของหุ้น Facebook จะยังเติบโต แต่ปลายปีที่ผ่านมาหุ้น Facebook ตกหนักจากที่เคยขึ้นไปสูงสุดที่ราคา 218 ดอลลาร์ ตกลงไปต่ำสุดที่ราคา 123 ดอลลาร์ หรือนับเป็นการตกถึง 43.5% ถ้าเป็นการปรับฐานก็นับเป็นการปรับฐานที่รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปีเลยทีเดียว

11. สาเหตุที่หุ้นตกก็มีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน เริ่มต้นจากช่วงต้นปี 2018 ในเดือนมค. Facebook ประกาศว่าจะลดการมองเห็นเนื้อหาจาก Page ซึ่งเป็นบริษัทและแบรนด์ แต่จะไปเพิ่มการมองเห็นให้กับเนื้อหาจากเพื่อนและครอบครัวของ Feed แทน เพราะเริ่มมีกระแสจากผู้ใช้มาว่า Facebook เริ่มไม่ใช่สังคมของเพื่อนและครอบครัวอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นเครื่องมือโฆษณาที่เต็มไปด้วยเนื้อหาจากบริษัทและแบรนด์ที่พยายามขายของ กระแสเริ่มต้นจากวัยรุ่นในสหรัฐฯเริ่มไม่ใช้ Facebook และหันไปใช้ App ที่สนุกกว่าอย่าง Snapchat แทน ราคาหุ้น Facebook เริ่มมีการปรับฐานอย่างรุนแรงให้เห็น

12. วิกฤตระลอกถัดไปถาโถมเข้ามาเมื่อในเดือนมีนาคม ปี 2018 New York Times และ The Guardian รายงานกรณี Cambridge Analytic เอาข้อมูลผู้ใช้ Facebook กว่า 50 ล้านรายไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อช่วยนักการเมืองหาเสียงเลือกตั้งโดยที่ผู้ใช้เหล่านั้นไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย Facebook พยายามแก้ไขด้วยการระงับการร่วมงานกับ Cambridge Analytica แต่ทว่าสายเกินไป ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และแน่นอนไปถึงหูสภาคองเกรสเรียบร้อย Mark Zuckerburg ถูกเรียกตัวเข้าไปเพื่อไตร่สวนกรณีอื้อฉาวครั้งนี้

13. หุ้น Facebook ตกจากจุดสูงสุดของการขึ้นรอบนั้นที่ 195 ดอลลาร์ ลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ 149 ดอลลาร์ ณ.วันที่ 26 มีนาคม 2018 นับเป็นการตกลงมาประมาณ 23% Facebook ทำการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ออกระเบียบและมาตรฐานการสร้าง Content บน Facebook ขึ้นมาเพื่อควบคุมการโพสของคนกว่า 2,300 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่า …… คนส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านและอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามี

14. ในเดือนเมษายน Facebook ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกออกมา รายได้โต 50% กำไรโต 63% โตสวนทางกับสถานการณ์ของบริษัท ในไตรมาสนี้รายได้โตหลักๆจากโฆษณา Mobile ที่ 60% ราคาโฆษณาที่สูงขึ้นถึง 39% และจำนวนโฆษณาที่มากขึ้น 8% แม้จะเกิดวิกฤตจนคนรู้สึกกลัว แต่การโฆษณาใน Facebook ยังคงเป็นช่องทางที่ดีที่สุด ในเดือนเมษานี่เองที่หุ้น Facebook เริ่มกลับตัวขึ้นมาและฝ่าราคาสูงสุดที่ 195 ดอลลาร์ไปได้

15. ในไตรมาสนั้น Facebook บอกว่ามั่นใจว่าจะสามารถสร้างธุรกิจโฆษณาที่ยอดเยี่ยมและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้ อย่างไร Facebook ยังได้บอกด้วยว่ากฏการปกป้องข้อมูล (GDPR) ของฝั่งยุโรปจะกระทบธุรกิจ และค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการบริหารความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้

16. วันที่ 26 กรกฏาคม คือวันที่โหดร้าย หุ้น Facebook ตกหนัก 20% ในวันเดียว หลังจากที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Facebook ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ การเติบโตของจำนวนผู้ใช้เริ่มชะลอตัว การเติบโตในฝั่งยุโรปติดลบ จากราคาปิดวันก่อนที่ 217 ดอลลาร์ เช้าวันนั้นวันเดียวตกลงมาเหลือ 174 ดอลลาร์ ติดลบ 20% ในคืนเดียว มูลค่าของบริษัทหายไปทันทีกว่า 120 ล้านดอลลาร์ 120 ล้านดอลลาร์มากแค่ไหน? ไม่มากเท่าไหร่ ประมาณมูลค่าบริษัท Nike ทั้งบริษัทแค่นั้นเอง

17. เหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งคือการลาออกของ Kevin Systrom (CEO) และ Mike Krieger (CTO) ผู้ก่อตั้ง Instagram ในวันที่ 24 กันยายน แม้ทั้งคู่จะบอกว่าแค่ “คิดจะพัก” แต่ในความจริงคือทั้งคู่มีมุมมองในการพัฒนา Instagram ที่ต่างกับ Zuckerburg แต่ก็ถูกพลังภายในของ Zuck กดดันมาตลอด อย่างกรณีที่ Instagram ต้องไปก๊อปปี้ Snapchat จนออกมาเป็น Stories ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ชอบซักเท่าไหร่ …. ในความจริงก่อนหน้านี้ก็มีคนสำคัญอีกหนึ่งคนลาออกไปก่อนนั่นก็คือ Jan Koum ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp

18. การลาออกของ CEO และ CTO ของ Instagram สำคัญยังไง? สำคัญโคตรๆเพราะตอนนี้ ความนิยมใน Facebook กำลังเสื่อมถอย Instagram กำลังเติบโตและกลายเป็นดาวรุ่ง การขาดคนที่ปั้น Instagram มากับมือนั้นต้องทำให้เกิดปัญหาในเชิงบริหารและการพัฒนาอย่างแน่นอน

19. สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร วันที่ 28 กันยายน Facebook ต้องเจอกับปัญหาอีกครั้งเมื่อบริษัทประกาศว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้ Facebook กว่า 30 ล้านคน ข้อมูลเช่นชื่อ-นามสกุล อายุ เพศ สถานะ และอื่นๆรั่วออกไปสู่สาธารณะ

20. นี่คือเหตุการณ์คร่าวๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปีที่ผ่านมาส่งผลให้หุ้น Facebook ราคาหุ้นตก“ยับเยิน” ลงไปต่ำสุดเหลือ 123 ดอลลาร์ในวันที่ 24 ธันวาคม 2018 และหลังจากนั้นราคาหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นเล็กๆอีกครั้ง ปัจจุบันอยู่ที่ราคา 162 ดอลลาร์ ที่ราคานี้มีอะไรที่เราควรต้องรู้บ้าง? หุ้น Facebook น่าซื้ออย่างไร? มีความเสี่ยงตรงไหน?

21. จริงอยู่ที่หุ้น Facebook ตกหนักแต่หากดูที่การเติบโตของรายได้ย้อนหลัง 4 ไตรมาสจะพบว่ารายได้ของ Facebook มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 30-49% และทางบริษัทได้แจ้งว่าในปี 2019 นี้บริษัทคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ประมาณ 25% ข่าวดีคือ Facebook ยังเติบโต แต่ข่าวร้ายคือการเติบโตมันลดลงมาเรื่อยๆ

22. สาเหตุที่การเติบโตน้อยลงก็เพราะ Facebook ไปใช้เวลาในการจัดการเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลซะเยอะในปี 2018 จากการที่มีการรั่วไหลของข้อมูล และการที่ Platform หลักของบริษัทซึ่งก็คือตัว Facebook เองนั้นค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว การเติบโตของผู้ใช้ช้าลงจนเหลือเลขหลักเดียว ส่วนการโฆษณาใน Platform อย่าง Instagram ก็ยังไม่มี Advertiser ไปใช้บริการมากนัก Facebook มีบริษัท Advertiser ใช้บริการอยู่ 7 ล้านราย เพิ่งมีคนไปโฆษณาใน Instagram เพียง 2 ล้านรายเท่านั้น

23. พอรายได้เติบโตช้า แต่ค่าใช้จ่ายกลับพุ่งกระฉูดก็เลยส่งผลถึงกำไรจากการดำเนินงานที่เคยเติบโตไตรมาสละกว่า 60% เหลือเพียง 12% ในไตรมาส 3 คือแทบไม่โตเลยแม้รายได้จะโตมากกว่า 30% แล้วค่าใช้จ่ายมาจากไหนเยอะแยะ?

24. ถ้าไปดูที่ตัวเลขจำนวนพนักงานของ Facebook จะเห็นว่าจำนวนของพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 18,770 คน ณ.ต้นปี 2017 เป็น 35,587 คนในปลายปี 2018 หนึ่งในสาเหตุของการเพิ่มพนักงานครั้งนี้คือการพยายามควบคุมคุณภาพของเนื้อหาบน Facebook และจัดการเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล

25. ปี 2018 จากปัญหาที่เกิดขึ้น Facebook ต้องใช้เวลาไปกับงานหลังบ้านเยอะมาก สุดท้ายจึงส่งผลให้อัตราการเติบโตของรายได้ลดลง ค่าใช้จ่ายเพิ่ม กำไรลด ไตรมาส 3 ปี 2018 กำไรโตเหลือ 9% (แบบโตแค่นี้มึงไม่ต้องโตก็ได้นะ) ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้นักวิเคราะห์หลายๆเจ้าพากัน “ลดเป้า” ราคาหุ้น Facebook ลง

26. นอกจากรายได้ที่เติบโตและกำไรที่ลดลงแล้ว บริษัทยังมีปัญหาเรื่องการเพิ่มจำนวนโฆษณาบน Facebook เพราะค่อนข้างแน่นแล้ว (ไม่แน่แปลกอะไร ปัจจุบันนี้เล่น Facebook ทีไรเหมือนเจอแต่โฆษณาเยอะโคตรๆ) จากที่ผ่านมาที่เติบโตด้วยการเพิ่มจำนวน Ad impression โดยไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งานของผู้ใช้ตอนนี้อาจจะทำได้ลำบากกว่าในอดีต

27. ในขณะที่คนยังอยู่ในอารมณ์ของความกลัว งบ Facebook ไตรมาส 4 ปี 2018 ก็ประกาศออกมา ปรากฏว่า Facebook โตเกินที่นักวิเคราะห์คาดไว้รายได้ยังคงเติบโตประมาณ 30% แต่ที่สุดจริงๆคือกำไรยังโตได้ถึง 61% แตะ 6,800 ล้านดอลลาร์ เป็นกำไรที่สูงสุดตั้งแต่ตั้งบริษัทมาเลยทีเดียว ผลก็คือวันรุ่งขึ้นหุ้น Facebook ขึ้น 10% จาก 150 ดอลลาร์ไปเป็น 166 ดอลลาร์

28. ดูในฝั่งของจำนวนผู้ใช้ที่หลายๆคนสงสัยว่าจะเริ่มลดลงหรือไม่? เพราะช่วงหลังๆเหมือนใครๆก็บอกว่าคนจะเลิกเล่น Facebook แล้ว ปรากฏว่าจำนวนผู้ใช้ต่อวันยังโตถึง 8.9% จากปีที่แล้ว และโต 2.1% จากไตรมาสก่อน รายได้เฉลี่ยต่อคน (ARPU) ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกันจาก 6.18 ดอลลาร์ เป็น 7.37 ดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการเติบโต 19%

29. ไตรมาส 4 ของปี 2018 เป็นไตรมาสที่ค่าใช้จ่ายโตสูงมาก สูงถึง 62% เมื่อเทียบกับรายได้ที่โตเพียง 30% การเติบโตของค่าใช้จ่ายมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ Facebook การลงทุนใน AR/VR และระบบความปลอดภัย นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่พุ่งสูงขึ้นมาด้วย

30. แต่ David Wehner CFO ของ Facebook ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาไม่คิดว่าค่าใช้จ่ายในไตรมาส 1 ของปีนี้จะพุ่งสูงแบบไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรของ Facebook โตสวยๆในไตรมาส 1 ถ้ายังสามารถทำให้รายได้เติบโตได้อย่างที่ผ่านมา และค่าใช้จ่ายเติบโตลดลงแบบที่ David Wehner บอกจริง

31. P/E Ratio ของ Facebook อยู่ในระดับ 20 เท่า ถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบ 4-5 ปีที่ผ่านมาที่เคยมี P/E สูงถึง 50 เท่า หาก Facebook กลับมาเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานใน Platform ของตัวเองได้ สามารถนำเอาการโฆษณาไปใช้กับ WhatsApp และ Messenger ซึ่งเป็น Platform ที่มีคนใช้งานอยู่มากกว่าพันล้านคนได้อาจทำให้รายได้และกำไรกลับมาเติบโตดีได้อีกครั้ง

32. แม้อนาคตของ Facebook เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน แต่เรื่องดีๆก็มีอยู่บ้าง บริการและ Platform บางอย่างของ Facebook เริ่มมีผู้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น Instagram Stories ที่ไปก๊อป Snapchat มามีคนใช้ 500 ล้านคนแล้ว, Facebook Marketplace ที่เป็น Platform ขายของออนไลน์ C2C มีคนใช้ 100 ล้านคน, Facebook Watch ที่เพิ่ง Launch ไปไม่นานมีคนใช้แล้ว 400 ล้านคน, ถ้า Facebook ทำให้ Platform ใหม่เหล่านี้มีผู้ใช้งานมากๆได้ก็น่าจะเป็นการเติบโตครั้งใหม่ให้กับบริษัท และจำทำให้ธุรกิจ Ads ของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

33. สิ่งที่ต้องระวังคือในไตรมาสล่าสุด David Wehner CFO ของ Facebook ออกมาบอกว่าบริษัทอาจพิจารณายกเลิกการรายงานตัวเลขผู้ใช้ของ Facebook แต่ไปรายงานตัวเลขผู้ใช้รวมทั้งบริษัทแทน ซึ่งแบบนี้จะทำให้นักลงทุนไม่สามารถเช็คได้ว่าสุดท้ายแล้วคนใช้ Facebook ลดลงหรือเปล่าหว่า ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นเหมือน Apple ที่พอเลิกรายงานจำนวนยอดขาย iPhone ปุ๊ปหุ้นก็ไปตกตามกันไปเลย

34. อีกอย่างที่ผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Facebook ออกมาสวยอาจจะเป็นเพราะเป็นช่วง High season ของการโฆษณาก็เป็นได้ ดังนั้นไตรมาส 1 อาจมีการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลง

35. ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของ Facebook คือ Google และ Apple ซึ่งเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการสำหรับ Smartphone iOS และ Andriod ตอนนี้เราเริ่มเห็น Apple ใช้ฟังก์ชั่นการจำกัดการใช้งาน App ใน iOS ของ iPhone และ iPad แล้ว ถ้ามีคนใช้ฟังก์ชั่นนี้เยอะๆยอดผู้ใช้รายเดือนและรายวันของ Facebook อาจลดลงอย่างมีนัยยะ ซึ่งจะส่งผลให้ Ads impression ลดลง และรายได้เติบโตช้าลงได้

ที่มาบทความ: http://buffettcode.com/หุ้น-facebook-2019/

สรุปทุกอย่างที่ต้องรู้ หุ้น Facebook