“เน็ตช้า” ปัญหาของมวลมนุษยชาติ!

หากจะบอกว่า ชีวิตของคนดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัย 4 (อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม) แต่ทุกวันนี้สำหรับคนเมือง ปัจจัย 4 เป็นเรื่องที่แทบไม่มีใครพูดถึง เพราะอันที่จริงแล้ว สี่อย่างที่ว่านี้เราแทบจะไม่เคยขาดแคลนเลย ยกตัวอย่างเช่น “คนที่เสียชีวิตด้วยการกินมากไปมีจำนวนมากกว่าคนที่เสียชีวิตเพราะขาดอาหารหลายเท่าตัว” หรือทุกวันนี้คนไม่ได้ต้องการที่อยู่อาศัยกว้างใหญ่เหมือนเมื่อก่อน แต่สามารถอยู่ในคอนโดเล็กๆ ได้ และหลายๆคนมีประกันสังคมคอยดูแลเรื่องสุขภาพ กระทั่งเสื้อผ้าเองก็ไม่ได้แพงเหมือนเมื่อก่อน

กลับกัน มีปัจจัยหนึ่งที่มนุษย์แทบจะขาดไม่ได้ หากขาดไปคง (รู้สึก) เหมือนจะขาดใจ กระวนกระวาย ซึมเศร้า ต้องบรรเทาด้วยการไปบ่นลง Facebook โทรไปโวยกับ Call Center จนบางทีกลายเป็นประเด็นใหญ่โตในโลกออนไลน์ ปัญหานี้หนักกว่าปัญหารถติดในกรุงเทพฯ เสียอีก… ปัญหาที่ว่าคือปัญหา “เน็ตช้า” 

มนุษย์เราผ่านการวิวัฒนาการมากว่า 315,000 ปี ที่กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองโลกมาได้ทุกวันนี้ เราอาจจะไม่ได้มีดีที่มีสมองขนาดใหญ่ แต่มนุษย์เรามีส่วนของสมองที่พัฒนาเรื่องการสื่อสารได้ดีกว่าสัตว์ประเภทอื่น ๆ และเพราะการสื่อสารนี่เองที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดและกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน

“คนวงใน” เองก็ไม่คาดคิดว่าอินเทอร์เน็ตจะมาได้ถึงขนาดนี้

คาดการณ์การเติบโตของปริมาณข้อมูลจาก Smartphone ทั่วโลก
ที่มา: https://www.ericsson.com/en/mobility-report/future-mobile-data-usage-and-traffic-growth

Ericsson ผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารรายใหญ่ของโลกได้ประเมินไว้ว่า ข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานผ่าน Smartphone จะเติบโตมากกว่า 500% ระหว่างปี 2016-2022 แน่นอนว่าในประเทศแถบเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาจะมีโอกาสเติบโตสูงกว่า สิ่งที่จะตามมาคือความต้องการของเครือข่ายเส้นใยแก้วนำแสงซึ่งถูกใช้เป็นพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตทุกประเภท

Vint Cert ผู้คิดค้นระบบอินเทอร์เน็ตไม่คาดคิดว่าอินเทอร์เน็ตจะมีการใช้งานอย่างแพร่หลายแบบในปัจจุบัน ในตอนต้นเขาคิดค้นระบบขึ้นมาเพื่อแชร์ไฟล์ผ่านระบบเล็ก ๆ เท่านั้น Tim Berners ผู้คิดค้น World-Wide-Web เองก็เริ่มต้นจากแผนการสร้างระบบเล็ก ๆ เพื่อจัดการข้อมูล ไม่ได้คาดคิดว่าอินเทอร์เน็ตจะแพร่หลายแบบในปัจจุบัน

ข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย
ที่มา: https://lexiconthai.com/blog/thailand-leads-the-world-in-time-spent-online/

ในมุมมองของเมืองไทยเองก็มีสถิติที่น่าสนใจหลายตัวครับ เช่น กว่า 90% ของคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตทุกวัน และที่สำคัญกว่านั้นคือคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึงวันละ 9 ชั่วโมง! ลองคิดดู ถ้าใน 1 วันคนเรามีเวลา 24 ชม. ซึ่ง 8 ชั่วโมงหมดไปกับการนอน นั่นหมายความว่าเราใช้เวลากว่า 56% หรือเกินครึ่งของช่วงเวลาที่ตื่นไปกับอินเทอร์เน็ต!

“คุณภาพของอินเทอร์เน็ตกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันไปแล้ว”

โอกาสการลงทุนกับการเติบโตของอินเทอร์เน็ต

ในความเป็นจริงแล้วการเติบโตของอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในหลายสินทรัพย์และหลายวิธีการ เช่น การลงทุนในหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง เช่น Facebook Google หรือ Amazon แต่ก็มีความยากเพราะว่าเป็นหุ้นต่างประเทศ การจะไปลงทุนก็ยาก ความผันผวนก็สูง ถ้าเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจโทรคมนาคมในไทยก็ยังถือว่ามีความเสี่ยง เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นต้องใช้ความเชี่ยวชาญและความรู้ในอุตสาหกรรมพอสมควร วิธีการลงทุนแบบง่ายที่สุด มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น จึงมาจบลงที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอย่าง ‘กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF’

JASIF มีความน่าสนใจอย่างไร?

  • TTTBB เป็นผู้เช่าทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงในสัดส่วน 80% ของทรัพย์สินทั้งหมด และในกรณีที่ทรัพย์สินส่วนที่เหลืออีก 20% ของทรัพย์สินทั้งหมดไม่มีผู้เช่า TTTBB จะเป็นผู้เช่าและชำระค่าเช่าใช้ เพื่อเป็นการรับประกันรายได้ให้แก่กองทุน ตามสัญญาประกันรายได้ค่าเช่า นอกจากนี้ TTTBB ยังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารทรัพย์สิน ทั้งการซ่อมแซม ดูแล และบำรุงรักษาทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงให้แก่กองทุน
  • ปัจจุบัน 3BB มีจำนวนผู้ใช้บริการกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักวิชาการและจัดการทรัพยากรโทรคมนาคม ณ 31 มี.ค. 62) โดยครองส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับต้นๆ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 32% และมีอัตราค่าบริการเฉลี่ยต่อครัวเรือน (ARPU) อยู่ที่ 652 บาท ซึ่งสูงที่สุดในตลาดบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตเมืองไทย (ที่มา: Media Partners Asia)
  • TTTBB มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง นับจากปี 2558 – 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการเพิ่มขึ้นจาก 12,749 ล้านบาท เป็น 19,409 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% (รายงานประจำปี 2561 ของ JAS) โดยเน้นสร้างการเติบโตจากการขยายพื้นที่ให้บริการใหม่ๆ เพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่และรักษากลุ่มลูกค้าเดิม รวมถึงพัฒนาประสิทธิภาพประกอบกิจการ ซึ่งถือเป็น 3 กลยุทธ์หลักที่สำคัญของบริษัทฯ

หมายเหตุ : กรณีไม่รวม Hiring Revenue จาก JAS รายได้จากการขายและบริการสำหรับปี 2018 เท่ากับ 16,949 ล้านบาท หรือคิดเป็น CAGR เท่ากับ 9.96%

  • สภาพคล่องสูง ซื้อขายง่ายผ่านตลาดรอง

ข้อมูลจำนวนผู้ใช้ Internet 3BB
ที่มา: https://www.jasmine.com/investor-relations/detail/2

JASIF กำลังเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 2,500 ล้านหน่วย แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีสิทธิจองซื้อ โดยกำหนดอัตราส่วนใช้สิทธิจองซื้อในอัตรา 2.2 หน่วยลงทุนเดิม ต่อ 1 หน่วยลงทุนใหม่ ในราคาเสนอขายที่ 9 บาทต่อหน่วย รวมคิดเป็นมูลค่าเสนอขายทั้งหมดไม่เกิน 2.25 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งจะมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินอีกไม่เกิน 1.55 หมื่นล้านบาท รวมถึงกู้เงินสถาบันในประเทศไม่เกิน 2.66 พันล้านบาทเพื่อชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเตรียมเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานประเภททรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง (Optical Fiber Cable หรือ OFC) จำนวนไม่เกิน 700,000 คอร์กิโลเมตร โดยเป็นเส้นใยแก้วนำแสงที่สร้างขึ้นเฉลี่ยเพียง 1-3 ปี ซึ่งภายหลังการลงทุนเพิ่มเติม จะทำให้กองทุนมีทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 1,680,500 คอร์กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 925 อำเภอ และอีก 7,237 ตำบล ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ

การลงทุนใน JASIF เป็นการลงทุนในโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสงขนาดใหญ่เปรียบเสมือนกับการลงทุนในกระดูกสันหลังของการสื่อสารในโลกอนาคต โดยผู้ที่มาเช่าเส้นใยแก้วนำแสงไปก็คือ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ หรืออินเทอร์เน็ต 3BB ที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นเอง ปัจจุบัน 3BB มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 32% หรือประมาณ ​1 ใน 3 ของธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านเลยทีเดียว

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนลงทุนกองทุน JASIF

  • อัตราค่าเช่าเส้นใยแก้วราคายังขึ้นได้เรื่อย ๆ ตามดัชนีผู้บริโภค ทำให้กองทุนไม่อยู่ในสถานะเสียเปรียบจนขึ้นราคาไม่ได้
  • ตั้งแต่ตั้งกองทุนมาจ่ายปันผลไปแล้ว 3.92 บาท เป็นจำนวน 18 ครั้ง​ โดยจ่ายปันผลเฉลี่ย 4 ครั้งต่อปี และจ่าย ‘เงินคืนทุน’ 3 ครั้ง เป็นเงิน 0.1484 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 4.0684 บาท* โดยหลังเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 จะทำให้ประมาณการเงินปันส่วนแบ่งกำไรต่อหน่วยลงทุน (Cash Distribution Per Unit หรือ DPU) สำหรับช่วงเวลา 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2563 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.0387 บาทต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 0.9924 บาทต่อหน่วย
  • ค่าธรรมเนียมรวมทั้งหมด 0.66% ต่อปี
  • ถ้าบริษัทประสบปัญหาอาจทำให้กองทุนขาดรายได้ค่าเช่าได้ แต่กรณีนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากเพราะอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ต้องใช้กันอยู่แล้ว ยอด Subscribers ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้น โอกาสที่กองทุนจะขาดรายได้ค่าเช่านั้นมีค่อนข้างน้อย

 *คำเตือน : ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

อนาคตของอุตสาหกรรม Broadband Internet

พูดถึง Broadband Internet ณ ตอนนี้คนส่วนใหญ่มักจะเอาไปเทียบกับ 5G ที่มีความเร็วสูงใกล้เคียงกัน และสะดวกกว่าเพราะสามารถใช้งานได้ทุกที่แค่มีมือถือก็เพียงพอ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าความต้องการขอมนุษย์ไม่เคย “เพียงพอ” ครับดังนั้น 5G จะไม่สามารถตอบโจทย์การทำงานของอินเทอร์เน็ตทุกรูปแบบในอนาคตได้ เพราะการใช้งานในอนาคตจะไม่ได้มีแค่ภาพ เสียง หรือวิดีโอ แต่จะเป็นการใช้งานส่งข้อมูลอย่างหนักหน่วง เช่น การใช้งานของรถยนต์ไร้คนขับ, Internet of Things, Virtual Reality และ Augmented Reality ทุก ๆ ครั้งที่ความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น มนุษย์จะคิดค้นวิธีใช้งานใหม่ ๆ ที่ใช้ความเร็วอินเทอร์เน็ตจนถึงขีดจำกัดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไร้สายมีแนวโน้มช้าและมีข้อจำกัด ซึ่งไม่ทันต่อความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นตลอดเวลา และนี่คือปัญหาที่เทคโนโลยีของ Broadband Internet จะเข้ามาเติมเต็มได้

ข้อมูลความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดของสหรัฐอเมริกา
https://www.ncta.com/positions/the-future-of-super-fast-internet

เทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Broadband Internet จะถูกพัฒนาบนพื้นฐานของโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสงเดิม แต่จะมีการพัฒนาในส่วนอุปกรณ์ DOCSIS เพื่อเพิ่มศักยภาพของการโอนถ่ายข้อมูลเพิ่มอีก 50% ลดระยะเวลาการตอบรับเหลือเพียง 1 มิลลิวินาที และไม่มี Lagtime เรียกได้ว่าการทำงานทุกอย่างบนเครือข่ายแทบจะเป็น Real Time ได้เลย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานในอนาคต

สรุปก็คือเทคโนโลยี Broadband Internet และโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสงเดิมจะไม่หายไปไหน แต่จะมีวิธีการใช้งานใหม่ ๆ เกิดขึ้นทดแทนการใช้งานแบบเดิม ๆ ซึ่งเราจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นแบบไหน จะเป็นการใช้ Virtual Reality มาช่วยเด็กทำการบ้านส่งครู ใช้อัพเดตข้อมูลของรถยนต์ไร้คนขับ หรืออาจจะใช้เป็นฮับโอนถ่ายข้อมูลของอุปกรณ์ Internet of Things ในบ้าน

รายละเอียดการเสนอขายหน่วยลงทุนแบบ RO

  • RO เสนอขายผู้ถือหน่วยเดิม ในอัตรา 2.2 หน่วยลงทุนเดิม ต่อ 1 หน่วยลงทุนใหม่ ราคาจอง 9 บาท/หน่วย
  • TTTBB เป็นผู้เช่าทรัพย์สินกลับในสัดส่วน 80% ภายใต้สัญญาหลัก โดยมีค่าเช่าเท่ากับสัญญาหลักเดิมที่ 433.21 บาทต่อคอร์กิโลเมตร/เดือน รวมทั้ง ให้สิทธิขยายสัญญาหลักเดิมออกไปอีกประมาณ 6 ปี รวมระยะเวลาของสัญญาหลักเป็นประมาณ 12 ปี 2 เดือนโดยจะสิ้นสุดในวันที่ 29 มกราคม 2575 และTTTBB ยังรับประกันรายได้ค่าเช่าสำหรับทรัพย์สินอีก 20% ซึ่งมีค่าเช่าที่ 764.48 บาทต่อคอร์กิโลเมตร/เดือน โดยกองทุนมีสิทธิต่ออายุสัญญาดังกล่าวได้อีกครั้งละ 3 ปี จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2569 สำหรับทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนรองเดิม และจนถึงวันที่ 29 มกราคม 2575 สำหรับทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนรองส่วนเพิ่ม
  • คาดว่าผลตอบแทนจากการปันผลจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% ในปี 2563 และเพิ่มเป็น 9.4-10% ในปี 2564-68 (ที่มา: บทวิเคราะห์ JASIF ของ Bualuang Securities Research)

การลงทุนใน JASIF นับว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของปันผลที่ค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ย นอกจากนั้น ยังมีโอกาสที่ปันผลจะเติบโตได้ในอนาคตเป็นของแถมด้วย อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าการลงทุน นับว่า “มีความเสี่ยง” หากใครสนใจลงทุน JASIF อย่าลืมศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกันด้วยนะครับ!


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน |  ผลการดำเนินงานในอดีต / ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต