7 ข้อดีการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทย

ลงทุนในประเทศไทยมีดียังไง? ในฐานะที่เป็นนักลงทุนที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศมาซักระยะหนึ่ง มาถึงจุดนี้ผมต้องบอกเลยว่าการลงทุนในประเทศไทยมีข้อดีและได้เปรียบการลงทุนในต่างประเทศหลายข้อมากๆ การลงทุนในประเทศไทยยังคงเป็นการลงทุนหลักของผมต่อไปได้อีกหลายสิบปี อะไรทำให้ผมคิดแบบนั้นผมสรุปมาให้คร่าวๆแล้ว “ลงทุนเมืองไทย ไม่มีที่ไหนสุขใจกว่าบ้านเรา” ^^

10 ปีที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือ SET ได้เติบโตขึ้นมาตลอดทาง ผ่านวิกฤตมาก็หลายครั้ง หุ้นไทยหลายๆตัวโตเป็น 1,000% รวมไปถึงกองทุนหลายๆกองก็เติบโตสูงมาก

กองทุนหุ้นไทยอย่าง BTP, ABSM และ KAEQ ต่างก็สามารถทำผลตอบแทนระยะยาว 10 ปี (Annualised Total Return)ได้มากกว่าเงินฝากหลายเท่าตัว

แม้ผมจะชอบลงทุนในตลาดต่างประเทศแต่ผมบอกได้เลยว่าจากประสบการณ์ของผม การลงทุนในประเทศไทยเป็นอะไรที่ดีกว่ามาก โดยเฉพาะเรื่องความสบายใจ ลงทุนในประเทศไทยไม่มีที่ไหนสุขใจกว่าบ้านเราจริงๆ

ปัจจัยที่ทำให้ผมคิดว่าการลงทุนในประเทศไทยนั้นดีกว่าที่อื่นเมื่อเปรียบเทียบกันก็มีอยู่หลายประการ ผมขอแบ่งมาสั้นๆที่สำคัญ 7 ข้อด้วยกัน

1. พื้นฐานแกร่ง

ประเทศไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง หากเทียบขนาดของ GDP แล้วประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีขนาด GDP ขนาดใหญ่มากกว่าสิงคโปร์และเป็นรองเพียงอินโดนีเซียเท่านั้น

ในเชิง Logistic ที่ตั้งของเมืองไทยอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเป็นศูนย์กลางขนส่งสินค้าและการเดินทางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดีเป็น Hub ของ Asian ที่ใครๆมาก็ต้องผ่าน

ประเทศไทยอาจจะมีปัญหาบ้างเช่น ปัญหาหนี้สินที่คนพูดถึงบ่อยๆ แต่ก็ได้รับการแก้ไขจากหลายๆมาตรการทำให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ของคนไทยลดลงเป็นผลสำเร็จ และยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจนถึงปี 2020 ลดความเสี่ยง เสริมความแข็งแรงให้เศรษฐกิจโดยรวม

2. เติบโตต่อเนื่อง

Sector ที่เข้มแข็งของไทยก็เช่น Sector ท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวไทยทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2016 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูงสุดคือจีน, รัสเซียและเกาหลี

รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของการใช้นโยบายในการพัฒนาประเทศให้เติบโต นโยบาย Thailand 4.0 จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ 5 อุตสาหกรรมให้เป็นเครื่องจักรสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

นโยบายมีการเริ่มดำเนินงานแล้วคือ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกหรือ Eastern Economic Corridor ที่คาดว่าจะมีงบลงทุนมากกว่า 1.5 ล้านล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี

3. ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจึงได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรเป็นอย่างดี โดยแต่ละประเทศมีการลงทุน Foreign direct investment เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะใน 2 ปีที่ผ่านมานำโดยญี่ปุ่น, ประเทศอาเซียน, สหภาพยุโรป, จีน และสหรัฐอเมริกา

4. ธุรกิจไทยเติบโตในตลาดโลก

ปัจจุบันบริษัทในไทยไม่ได้ทำธุรกิจแค่ในไทยแล้ว หลายๆบริษัทออกไปเติบโตในต่างประเทศสำเร็จและมีสัดส่วนรายได้มากอย่างมีนัยยะสำคัญ การลงทุนในกองทุนหุ้นไทยจึงได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินงานของบริษัทไทยในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

5. ต่างชาติก็ลงทุนในไทย

กองทุนระดับโลกอย่างกองทุน Franklin Templeton Investments ของนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Mark Mobius เองก็เคยลงทุนในหุ้นไทยมาแล้วหลายบริษัทด้วยกัน จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า หุ้นไทย “มีดี”

หุ้นเครื่องสำอางค์ไทยอย่าง BEAUTY ขึ้นมามากกว่า 900% ในระยะเวลาแค่ 3-4 ปี เงิน 1 ล้านบาทที่ลงทุนจะกลายเป็น 10 ล้านภายในระยะเวลาแค่ 3-4 ปีเท่านั้นถือเป็นผลตอบแทนที่สูงไม่น้อยหน้าหุ้นต่างประเทศเลยทีเดียว

กองทุน KFTW5 ที่มีหุ้น BEAUTY เองก็ให้ผลตอบแทน 1 ปีสูงถึง 37.04%

6. เข้าถึงข้อมูลเชิงลึก

หากลงทุนในต่างประเทศการจะเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกในการลงทุนนั้นยากมาก แต่ถ้าเป็นการลงทุนในประเทศไทยที่เป็นประเทศของเราเอง เราจะหาข้อมูลได้ง่ายกว่า อย่างตลาดหลักทรัพย์เองก็มีทำกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลสำหรับการลงทุนได้อย่างเท่าเทียมและครบถ้วน

และสำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุน ก็สามารถเริ่มได้ง่ายๆ ด้วยกองทุนรวม ซึ่งมี บลจ. ชั้นนำมาร่วมให้ข้อมูลและบริการ ใครสนใจก็ไปเลือกช๊อปกองทุนกันได้ที่งาน SET in the City ซึ่งเค้าจัดทุกปี ส่วนในปี 2017 นี้ จะจัดขึ้นวันที่ 16-19 พ.ย. 60 ที่พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

7. คนไทยรู้จักเมืองไทยดีที่สุด

โอกาสการลงทุนพบเจอได้ตลอดเวลา แต่จะมีซักกี่ครั้งที่เราลงทุนโดยไม่ต้องกังวล รับผลตอบแทนอย่างสบายใจไม่เครียด ในฐานะของนักลงทุนไทยคนหนึ่งคงต้องบอกว่า “ความสุขแบบนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้วนอกจากประเทศไทย”

ดูบทความนี้แบบมีรูปประกอบได้ที่ : http://buffettcode.com/00021-7-ข้อดีลงทุนกองทุนรวม