รับชมบน YouTube: https://youtu.be/hEHmVhE_TGU

เราอาจได้เห็นสหรัฐฯ ครองตำแหน่งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและจีนครองตำแหน่งอันดับสองมาเป็นเวลานาน แต่ดูเหมือนในช่วงสั้น ๆ นี้ประเทศจีนคงจะต้องร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะมีอีกประเทศที่จ้องจะท้าชิงตำแหน่งเบอร์สองนี้อยู่เหมือนกัน นั่นคือประเทศอินเดีย แล้วปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศอินเดียน่าจับตามองมีอะไรบ้าง ติดตามในคลิปนี้ได้เลย

ปัจจัยที่ 1 คือการที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงประเทศจีนไปแล้ว

  • อย่างที่รู้กันว่าการมีประชากรจำนวนมากจะเอื้ออำนวยต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งในแง่กำลังการบริโภคและกำลังการผลิต
  • แต่เดิมประเทศจีนเคยเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและทั่วโลกต่างรับรู้ถึงจุดแข็งนี้ของจีนเป็นอย่างดี
  • จนกระทั่งมีรายงานจาก UN ระบุว่าจำนวนประชากรอินเดียจะแซงจีนในปี 2023 เร็วกว่าที่เคยได้คาดการณ์เอาไว้ถึง 4 ปี
  • นอกจากนี้จากการวิจัยของ อี้ ฟู่เสียน ประจำมหาวิทยาลัยวิสคอนซินยังได้ระบุว่าอินเดียมีจำนวนประชากรแซงหน้าจีนตั้งแต่ปี 2014 แล้ว
  • โดยตัวเลขประชากรจีนที่แท้จริงมีน้อยกว่า 1.3 พันล้านคน ไม่ใช่มากกว่า 1.4 พันล้านคนอย่างที่ทางการจีนได้ประกาศแต่อย่างใด
  • ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่เกือบทั่วโลกต้องเตรียมรับมือกับสังคมสูงวัย รวมถึงประเทศจีนที่ถึงขั้นต้องยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวและเปลี่ยนมาเป็นนโยบายลูกสามคน แต่อินเดียกลับยังเป็นประเทศที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวมากที่สุดในโลก
  • ข้อมูลจาก UN ระบุว่าเกือบ 70% ของประชากรอินเดียมีอายุต่ำกว่า 35 ปี และยังมีการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลางในอัตราที่สูง
  • คาดว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า อินเดียจะมีจำนวนชนชั้นกลางมากกว่า 800 ล้านคน  

ปัจจัยที่ 2 คือการที่อินเดียได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่เหมาะสำหรับการลงทุนและขยายธุรกิจแทนที่จีน

  • โดย Citigroup กลุ่มบริษัทการเงินชั้นนำของโลกได้ออกความเห็นว่าอินเดียเป็นประเทศที่เหมาะสำหรับการลงทุนธุรกิจมากกว่าจีน เนื่องจากมีเศรษฐกิจที่มั่นคงกว่าและมีความเสี่ยงทางการเมืองที่น้อยกว่า
  • อีกทั้งยังสังเกตได้ว่าหลายธุรกิจระดับโลกก็เริ่มพร้อมใจกันย้ายฐานผลิตจากจีนไปอินเดียมากขึ้น ทั้ง Apple, Google และ ISMC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปชื่อดัง 

ปัจจัยที่ 3 เรื่องความแข็งแกร่งของตลาดทุน

  • ในเดือนตุลาคมปี 2022 ดัชนี MSCI India สามารถเอาชนะดัชนี MSCI China ในระดับที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000
  • ช่วงที่ดัชนีจีนร่วง 23% เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ดัชนีอินเดียพุ่ง 10%
  • นอกจากนี้ค่า Correlation ระหว่างดัชนีจีนและอินเดียยังเป็นลบต่อเนื่องตั้งแต่พฤศจิกายน 2021 ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสะท้อนให้ความสัมพันธ์ที่มีทิศทางตรงกันข้ามกันระหว่างสองดัชนี จึงเริ่มเห็นสัญญาณการปรับพอร์ตของนักลงทุนที่ย้ายข้างมาฝั่งประเทศอินเดียมากขึ้น
  • อีกทั้งดัชนี MSCI Emerging Markets ก็ยังได้ปรับลดสัดส่วนหุ้นจีนและปรับเพิ่มสัดส่วนหุ้นอินเดียในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย 

ปัจจัยที่ 4 คือนโยบาย ‘Make in India’

  • เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2014 โดยการนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี
  • มีเป้าหมายสำคัญคือผลักดันให้อินเดียพึ่งพาตัวเอง ผลิตสินค้าเอง ลดการพึ่งพาจากต่างชาติ ลดเงินไหลออกจากประเทศ และเพิ่มกำแพงภาษีให้กับสินค้าต่างชาติ
  • เป็นนโยบายที่ส่งผลดีอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังปั่นป่วน นั่นคือเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่งและไม่ล้มตามกันเป็นโดมิโนอย่างประเทศอื่นนั่นเอง 

พบความสุดพิเศษสำหรับคุณได้ในทุกวัน ทั้งบทความให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม หุ้น คริปโตฯ และการบริการ โปรโมชั่น ของรางวัลต่างๆ ที่คัดสรรมาเพื่อมอบให้กับสมาชิก FINNOMENA เท่านั้น
👉 สมัครสมาชิกเว็บไซต์ FINNOMENA https://finno.me/register-website


มือใหม่ห้ามพลาด! คอร์สเรียนพิเศษจาก FINNOMENA U "กองทุนรวม 101 สำหรับมือใหม่"