Alpha Investor ตอน “เจาะลึก Tesla บริษัทยานยนต์มูลค่าสูงสุดในโลก”

หุ้น Alpha

  • หุ้น Alpha คือหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด 
  • Alpha / Beta เป็นคำอธิบายประสิทธิภาพของสินทรัพย์ลงทุน เพื่อให้นำมาใช้เปรียบเทียบและประเมินแนวโน้มผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ลงทุน 
  • Alpha หมายถึงผลตอบแทนส่วนเกินหลังจากที่ได้ปรับด้วยค่าความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับตลาดเรียบร้อยแล้ว เป็นตัวบอกว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าการคาดคะเนด้วย Beta รึเปล่า  ยิ่งค่า Alpha มากกว่า เท่าไหร่ ก็ยิ่งแปลว่ามีประสิทธิภาพสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดมากเท่านั้น 
  • Beta หมายถึงความผันผวนของสินทรัพย์ลงทุนเมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง เช่น ดัชนี S&P500 
  • หุ้นเติบโต มักจะมีค่า Beta มากกว่า หมายถึงทุกครั้งที่ตลาดผันผวน หุ้นเติบโตมักจะผันผวนในขนาดที่มากกว่า แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าตลาดบวก 1 เท่า หุ้นเติบโตจะบวกมากกว่า เท่า ส่วนพันธบัตรรัฐบาล มักจะมีค่า Beta เข้าใกล้ หมายถึงเมื่อตลาดผันผวน ก็จะแทบไม่มีผลอะไรกับพันธบัตรรัฐบาลเลย 
  • ส่วนกรณีที่ค่า Beta ติดลบ จะหมายถึงการตอบสนองต่อตลาดในทิศทางตรงข้าม ยกตัวอย่างเช่นทองคำ สมมติมีค่า Beta -1 ก็จะแปลว่า เมื่อตลาดบวก เท่า ทองคำจะติดลบ เท่า 
  • การศึกษาค่า Beta มีประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน โดยนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับหลักการกระจายสินทรัพย์ลงทุน หรือ Asset Allocation ก็จะเลือกสินทรัพย์ที่มีค่า Beta ติดลบเข้ามาในพอร์ตไว้ด้วยเสมอ เผื่อช่วงที่สินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีในบางสถานการณ์ ก็จะได้ยังมีสินทรัพย์อีกตัวที่ยังสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตได้อยู่

Edge

  • ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคการลงทุน แต่เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  
  • มาจากคำว่า cutting edge ที่หมายถึงความเป็นที่สุด เป็นผู้นำที่เหนือชั้นของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่ง ในวิดิโอนี้กำลังหมายถึง Tesla ที่มีศักยภาพสูงที่จะเป็น cutting edge company ในด้านอุตสาหกรรมการผลิต ไม่ใช่แค่เรื่องรถยนต์ไฟฟ้า 

Margin & CAGR 

  • Margin ในทางการลงทุนอาจถูกนำมาใช้ได้หลายความหมาย อย่างการกู้ยืมบริษัทโบรกเกอร์เพื่อชำระค่าซื้อสินทรัพย์ลงทุน (to margin / to buy on margin) หรือการเปิดบัญชี Margin account ก็จะหมายถึงบัญชีหลักทรัพย์ที่ทำให้เราซื้อสินทรัพย์ลงทุนได้มากกว่าเงินสดที่เรามีอยู่ในบัญชี 
  • แต่ในความหมายทางธุรกิจโดยทั่วไป คือ Operating margin หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการนำกำไรหลังหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายมาเทียบกับยอดขาย แสดงให้เห็นความสามารถในการทำกำไรของกิจการ 
  • CAGR (Compound Annual Growth Rate) คืออัตราการเติบโตของรายได้ ซึ่งจากตาราง Tesla มีอัตราการเติบโตสูงถึง 80% ต่อปีในช่วง 10 ปี 

6 Levels of Autonomy 

  • Level 0 (No driving automation)รถทุกวันนี้ มนุษย์เป็นคนขับเอง 100% อาจจะมีระบบอัตโนมัติบางอย่างแต่ไม่เกี่ยวข้องกับการขับ เช่น ระบบเบรกอัตโนมัติ 
  • Level 1 (Driver assistance)ขั้นน้อยสุดของการขับเคลื่อนอัตโนมัติ เริ่มมีระบบอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือการขับขี่ เช่น Cruise control หรือระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ มนุษย์จะยังต้องควบคุมส่วนอื่น ๆ ของรถอยู่ เช่น พวงมาลัย หรือเบรก 
  • Level 2 (Partial driving automation)มีระบบ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) ควบคุมได้ทั้งพวงมาลัย การเร่ง/ลดความเร็ว แต่จะต้องมีมนุษย์นั่งประจำที่พร้อมเข้าควบคุมรถอยู่ตลอด  
  • Level 3 (Conditional driving automation)ระหว่าง LV.2 และ เป็นรอยต่อที่สำคัญ สู่การขับขี่ที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วยตัวเองอีกต่อไป เพราะมีระบบ “Environmental detection” และสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เช่น การขับแซงรถคันข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีมนุษย์แสตนด์บายคอยควบคุมในกรณีที่ระบบอัตโนมัติไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ 
  • Level 4 (High driving automation)สิ่งที่พัฒนาเพิ่มจาก LV.3 คือ รถยนต์สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยการตอบสนองจากมนุษย์อีกต่อไป ใน LV.4 สามารถใช้ Self-driving mode ได้ แต่ก็ต้องขึ้นกับกฎหมายของพื้นที่ที่จะใช้รถด้วย  
  • Level 5 (Full driving automation)เป็นเลเวลที่ตัดการขับขี่โดยมนุษย์ออกไปเลย คือไม่สามารถสวิชต์เลือกเป็นระบบอัตโนมัติ หรือขับเองได้ แต่เป็นเลเวลที่อาศัยการขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ 100% ไม่ต้องมีแม้แต่พวงมาลัย เบรก หรือเกียร์ ทำได้ทุกอย่างที่มนุษย์ในฐานะผู้ขับขี่จะทำได้ ในปัจจุบันยังไม่มีรถยนต์อัตโนมัติของบริษัทไหน ที่ทำได้ถึงเลเวลนี้ 

แตก Par

  • “ราคาพาร์” (Par Value) คือราคาต่อ หุ้นที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้น Tesla ราคาพาร์เริ่มแรก 0.001ต่อมาเมื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ความต้องการซื้อหรือขายหุ้นก็อาจทำให้ราคาของหุ้นเพิ่มหรือลดลงจากราคาพาร์ก็ได้ 
  • การแตกพาร์ (Stock split) คือการทำให้ราคาพาร์ต่อ หุ้นลดลง แต่จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน เปรียบเหมือนการแตกธนบัตรจากธนบัตร 500 1 ใบ ก็ให้กลายเป็นธนบัตร 100 5 ใบแทน ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อให้นักลงทุนซื้อหุ้นได้ง่ายขายได้คล่องขึ้น แต่จะไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าหุ้น หรืองบการเงินของบริษัทแต่อย่างใด 
  • Tesla ก็เป็นอีกบริษัทที่เคยขอแตกพาร์ในสัดส่วน ต่อ ในช่วงที่บริษัทกำลังได้กระแสความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมากในปลายปี 2020 ที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นจากประมาณ 1,500$ ต่อ หุ้น ลดลงมาเป็นประมาณ 300$ ต่อ หุ้น และในไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศแตกพาร์ ราคาหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% เลยทีเดียว ทั้งที่การแตกพาร์ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อปัจจัยพื้นฐานของหุ้นหรือบริษัท Tesla เลย แต่ก็ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า การแตกพาร์ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยอยู่พอสมควร