หุ้นจีน “ลงทุนได้หรือไม่”

“หุ้นจีน” เป็นหนึ่งในการลงทุนที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุดแต่กลับเป็นการลงทุนที่สร้างความผิดหวังมากที่สุดในปี 2023

ผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิเคราะห์ที่มองว่าหุ้นจีนน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่านี้ แต่เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นตามคาด ก็ต้องประเมินเหตุผลกันใหม่ว่า

หุ้นจีน “ลงทุนได้หรือไม่”

แม้หุ้นจีนจะมีจุดแข็งมากมาย แต่ปี 2023 ก็มีปัญหาที่ต้องระวังเพิ่มขึ้นหลายอย่าง

ข้อแรกคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้จะดีขึ้นตามคาดแต่ช้าที่สุดในประวัติศาสตร์ และขับเคลื่อนด้วยการบริโภคซึ่งมีสัดส่วนน้อย

เศรษฐกิจจีนหลังคลายมาตรการ Zero-Covid เปิดตัวได้ดี และคาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่มีสัดส่วนกว่า 40%/GDP กลับเติบโตเพียง 3-7% ถ้าภาครัฐไม่ได้เน้นโครงสร้างพื้นฐานเหมือนสมัยต้นศตวรรษ 2000 ก็ยากที่จะเห็นการเติบโตระดับสูงในระยะยาว

ส่วนการบริโภคของชาวจีน แม้จะฟื้นตัวแรงและมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปัจจุบันก็อยู่ในระดับ 30-40%/GDP ต่างจากเศรษฐกิจใหญ่อื่น ๆ ที่การบริโภคเป็นถึงกว่า 70%/GDP

ถ้าภาคอุตสาหกรรมไม่ฟื้นตัว รายได้เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนจีนทั้งใน MSCI China หรือ CSI 300 ในปีนี้อาจเติบโตเพียง 0-5%

เมื่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เกิดขึ้นในทุกกิจกรรม รอยร้าวด้าน Valuation ที่ “โตในธีมที่ไม่ถูก แต่ถูกในธีมที่ไม่โต” ก็เห็นชัดเจนขึ้น

ที่จริงจุดแข็งเรื่อง “ความถูก” ของหุ้นจีนยังคงอยู่

เพราะปัจจุบันเปรียบเทียบ Long-term P/E ระหว่าง CSI 300 กับ MSCI All Country World Index ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 19 เท่า และ 23 เท่า หมายความได้ว่าหุ้นจีนยังถูกกว่าหุ้นโลกถึงราว 20%

แต่ต้องไม่ลืมว่า Valuation นี้ได้มาจากการผสมกลุ่มมูลค่า (Value) และปันผล (High Dividend) ที่มี P/E ที่ต่ำเพียง 5-10 เท่า กับธีมเติบโตที่มาพร้อมกับความคาดหวังสูง ราคาแพงผิดปรกติ

เช่น พลังงานทางเลือก (MSCI China IMI Environment 10/40 Index) ล่าสุด Bloomberg ล่าสุดชี้ว่าซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ P/E เกิน 100เท่า และปีนี้รายได้ต้องเติบโตถึง 400% ถึงจะมี P/E กลับสู่ค่าเฉลี่ย 10ปี

ต่อให้รายได้เติบโตตามความคาดหมาย การเปลี่ยนระดับราคา (P/E Relating) จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเงินใหม่จากนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่

การถือครองของต่างชาติที่ต่ำกว่าขนาดเศรษฐกิจ เป็นหนึ่งในจุดเด่นของหุ้นจีน แต่การเมืองระหว่างประเทศอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะไม่ถือหุ้นจีนก็เป็นได้

ข้อมูลล่าสุด Wind และตลาดหลักทรัพย์จีนชี้ว่านักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนถือครองหุ้นจีนเพียงราว 18% น้อยกว่าหุ้นไทยที่ 23% และไต้หวัน 39% ขณะที่การลงทุนใน A Share ของนักลงทุนสหรัฐคาดว่ามีสัดส่วนเพียง 1%/Market Cap เท่านั้น

อย่างไรก็ดี สัดส่วนการถือครองที่ต่ำ อาจไม่ได้เกิดจากนักลงทุนทั่วโลกลืมคิดที่จะแบ่งการลงทุนมาที่จีน แต่อาจเกิดจากความตั้งใจที่จะลดความเสี่ยงด้านการเมือง

เพราะไล่เรียงตั้งแต่เรื่องความขัดแย้งทางความิดค ภูมิรัฐศาสตร์ มาจนถึงความเสี่ยงนโยบายควบคุมการลงทุนด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ ปี 2023 ถือเป็นหนึ่งปีที่การเมืองระหว่างประเทศของจีนมีประเด็นมาโดยตลอด

ในช่วงเวลาปรกติ ความเสี่ยงลักษณะนี้มักได้รับชดเชยด้วยการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปัจจุบันก็มีปัญหา

เมื่อเงินหยวนไม่อ่อนค่า กลายเป็นปัจจัยที่ขัดขวางการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

ความผิดปกตินี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเงินหยวนที่แข็งผิดปรกติ แต่ดูจะเกิดจากดอลลาร์อ่อนค่า เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ตลาดมองว่าเฟดต้องหยุดขึ้นดอกเบี้ย ไปจนถึงความกังวลว่าตลาดจะลดการใช้ดอลลาร์ (De-Dollarization)

กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มขนส่งจีนที่ควรฟื้นตัว แต่กลับเป็นหลุ่มที่มีรายได้จากสกุลเงินต่างประเทศสูงจึงกลายเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ตลาดสับสนของตลาด

ถึงจุดนี้ผมเชื่อว่านักลงทุนหลายท่าน คงมีคำตอบในใจสำหรับคำถามว่า “หุ้นจีนลงทุนได้หรือไม่”

สำหรับผม คำตอบแน่นอนว่า “ลงทุนได้” แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ “สัดส่วนการลงทุน” ที่ควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์

ถ้าสมมติฐานหลักของเราคือความขัดแย้งจะไม่จบลงในเร็ววันนี้ อย่างน้อยก็ควรปรับสัดส่วนลงทุนในจีนไม่ให้เกิน 20-30% โดยอาจเลือกเพิ่มหรือลดการลงทุนเมื่อราคาเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยจากประเด็นการเมือง เช่นซื้อเมื่อมีข่าวร้าย และขายเมื่อมีข่าวดี

นอกจากนี้นักลงทุนอาจเลือกหาสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของจีน แต่ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการเมืองจีนหรือค่าเงินหยวน

เช่น หุ้นญี่ปุ่นหรือยุโรปที่ไม่ผันผวนไปตามทิศทางเงินหยวน แต่มีโอกาสฟื้นตัวไปพร้อมกับวัฏจักรเศรษฐกิจ การบริโภค และการค้ารอบใหม่ของจีน

หรือแบ่งสัดส่วนไปลงทุนใน “ตัวสำรอง” ของหุ้นจีน เช่นหุ้นอินเดีย หุ้นอินโดนีเซีย หรือ Emerging Markets อื่นๆ ที่รายได้เติบโตสูงพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ในมุมมองของผม พื้นฐานหุ้นจีนไม่ได้แย่ลงมาก แต่ก็ไม่โดดเด่นในระยะสั้นเมื่อมีการเมืองคอยกดดัน Valuation ไม่สามารถกลับขึ้นไปซื้อขายในระดับสูงได้ในระยะสั้น

โอกาสลงทุนในหุ้นจีนมีอยู่เสมอ แต่ “ลงทุนได้หรือไม่” คำตอบอาจไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเศรษฐกิจจีนเพียงอย่างเดียวนะครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์