ข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับตลาดการเงินปี 2023

เข้าสู่ช่วงท้ายปี 2022 นักลงทุนก็เริ่มมองอนาคต หา “ข่าวดีและข่าวร้าย” ที่กำลังจะเข้ามากระทบพอร์ตลงทุนของเราในปีหน้าด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มากมายในปีที่ผ่านมา ทำให้ปี 2023 มีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกับปีอื่น ๆ ในทศวรรษที่ผ่านมามาก แม้ทิศทางตลาดอาจไม่ชัดเจน แต่ความผันผวนจะไม่ลดลงเร็ว การวิเคราะห์ข่าวและประเมินเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจจะมีความสำคัญ นักลงทุนไม่ใช่แค่ต้องรู้ให้ทัน แต่ต้องปรับกลยุทธ์รับมือให้เหมาะสม

ในปี 2023 “ข่าวดีที่ตลาดรอคอยคือ เงินเฟ้อจะลดลง เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยถึงเป้าหมาย และจีนควรเปิดประเทศในที่สุด

พยากรณ์เศรษฐกิจล่าสุดของ IMF ชี้ว่า ทิศทางเงินเฟ้อจะเป็นข่าวดีอย่างแรกของปี 2023 Consumer Prices ใน Advanced Economies จะลดลงจาก 7.2% ในปีนี้ลงไปเหลือเพียง 4.4% ในปี 2023 ถ้าเป็นไปตามคาดการณ์ ข่าวดีที่สองที่จะตามมาทันทีคือ “เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย” ความกดดันบนบอนด์และ Valuation ของหุ้นจะลดลงพร้อมกัน

ส่วนข่าวที่ทั้งตลาดรอคอยมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการยกเลิกมาตรการ Zero Covid ของจีนในครึ่งแรกของปี 2023 เชื่อว่าถ้าเกิดขึ้นรายได้ของบริษัททั่วโลกฟื้นตัว นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในจีนได้

อย่างไรก็ดี ปี 2023 จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ข่าวร้ายคือเศรษฐกิจใหญ่กำลังถดถอย การเมืองผันผวน และโครงสร้างของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปเริ่มส่งผลต่อกำไรบริษัท เป็น IMF อีกเช่นกันที่มองว่าเศรษฐกิจใหญ่อย่างสหรัฐ สหราชอาณาจักร และยุโรปจะขยายตัวเพียง 0.5% 0.1% และ 0.9% ในปี 2023 หรือมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยพร้อมกัน

เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันกับที่ประธานาธิบดีสหรัฐ Joe Biden ต้องเสียสภาให้กับพรรค Republican ส่งผลให้นโยบายในประเทศติดขัด นโยบายต่างประเทศนำไปสู่ความขัดแย้งกับจีน

ซ้ำเติมด้วยระดับต้นทุนทางการเงินและหนี้ทั่วโลกที่สูง Globalization ที่กลับทิศ และเทคโนโลยีที่เดินหน้ามาถึงจุดที่แทบทุกธุรกิจมีความเสี่ยงในการถูก Disrupt

ทั้งหมดชี้ว่าปี 2023 เป็นปีที่ต้องระวังตัวสูง

มองข่าวเหล่านี้โดยรวมนักลงทุนคงสับสนว่า ควรลงทุนหรือไม่ แต่ถ้าเราประเมินขนาดความผันผวนและคาดการณ์จังหวะของแต่ละข่าว จะพบว่าทั้งหมดสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรกต้องรับมือทันทีคือ Signal ที่จะส่งผลในระยะสั้น อย่างทิศทางเงินเฟ้อและตลาดหุ้นจีน

ผมมองว่าธีมหลักของปี 2023 คือการมองหาจุดสมดุลของ Valuation ใหม่ทั้งระบบ เงินเฟ้อจึงเป็นสัญญาณอย่างแรกที่ต้องจับตา

ถ้าเงินเฟ้อโลกสามารถปรับตัวลงได้ นโยบายการเงินก็จะเข้าสู่สมดุลก่อน บอนด์จะกลับมาเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีจะหยุดปรับฐาน

ส่วนตลาดหุ้นจีน Signal หลักไม่ใช่แค่เมื่อไหร่ที่ทางการจะยกเลิกมาตรการ Zero Covid แต่รวมไปถึงธุรกิจใดที่ภาครัฐจะสนับสนุนหลังจากนี้

ความยากในเชิงกลยุทธ์รับมือ Short-term signal คือต้องอาศัยการคาดการณ์และชิงลงมือก่อน แต่เมื่อทั้งสองเรื่องเป็นข่าวดี ปี 2023 จึงดูจะรับมือไม่ยากมาก

กลุ่มสองจับจังหวะตอบโต้ใช้กับข่าวที่เป็น Noise เช่นการเมืองและเศรษฐกิจถดถอย

ไม่ใช่ว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่สำคัญกับตลาดการเงิน แต่การเมืองและภาวะเศรษฐกิจถดถอย มักสร้าง reflective actions เช่นนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วการเมือง หรือนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมักมีผลกับแนวโน้มความผันผวนในระยะยาวไม่มาก

ในทางทฤษฎี เราไม่ควรให้ความสนใจกับสัญญาณรบกวนมากเกินไป แต่เมื่อทั้งสองเรื่องเป็นข่าวร้าย กลยุทธ์รับมือที่ตรงที่สุดคือ “ถือเงินสด” ไว้บ้าง เพื่อรอจังหวะ เข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับฐานเมื่อตลาดกลัวมากจนเกินไป

กลุ่มสุดท้ายคือ Long-term Signal เช่นระดับดอกเบี้ยที่สูงหรือโครงสร้างธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ต้องแก้ด้วยการปรับสัดส่วนลงทุน

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือช่วงปีนี้ที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น จนหุ้นที่มี Valuation แพงต้องปรับตัวลง หรือบางธุรกิจที่เคยมี Profit margin สูงจาก Globalization อนาคตถ้าต้องกลับมาผลิตในประเทศก็ต้องประเมินจุดคุ้มทุนกันใหม่

ในปี 2023 คาดว่าจะเห็นข่าวร้ายทำนองนี้มากขึ้นตามหน้าสื่อ สิ่งที่นักลงทุนต้องรู้คือผลกระทบแท้จริงมักไม่ได้เกิดขึ้นในจังหวะที่มีข่าว แต่ทั้งหมดเป็นขั้นตอนที่กำลังเกิดขึ้นต่อเนื่อง

กลยุทธ์จึงควรเป็นการเฝ้าติดตามและปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและผลตอบแทนคาดหวัง แทนที่จะซื้อหรือขายไปตามข่าว

ถึงจุดนี้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านคงเห็นทั้งข่าวดีข่าวร้ายและรู้วิธีประเมินหรือวางกลยุทธ์รับมือไปบ้างแล้ว

นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าเมื่อปี 2023 มาถึงจริงก็คงมีข่าวดีและข่าวร้ายที่เราคาดไม่ถึงเข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้ตลาดเพิ่มเติมเข้าไปอีก

การฝึกวิเคราะห์ แยกให้ออกว่าข่าวไหนคือ Noise ข่าวไหนคือ Signal คือหนทางที่จะทำให้นักลงทุนรู้ทันตลาด ไม่พลาดโอกาส และบริหารความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงทีครั

ข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับตลาดการเงินปี 2023 

ข่าวดีและข่าวร้ายในตลาดการเงินปี 2023 แบ่งตามลักษณะของผลกระทบ
ที่มา: UOBAM Thailand

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

iran-israel-war