Best & Worst Investments

จากการลงทุนและใช้ชีวิตมายาวนานผมลองคิดดูว่าอะไรคือการลงทุนที่ “ดีที่สุด” และอะไรคือการลงทุนที่ “แย่ที่สุด” ของผม นี่ไม่ใช่ผลตอบแทนทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงผลตอบแทนทางด้านอื่นเช่นผลตอบแทนทางด้านจิตใจ  อารมณ์ ความรู้และความสามารถที่จะเป็นฐานให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในอนาคตด้วย  นอกจากนั้น  เวลาผมพิจารณาหรือประเมิน  ผมก็จะต้องดูด้วยว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้น  มันจะอยู่ต่อเนื่องยาวนานมากน้อยแค่ไหน  เหตุผลก็เพราะว่า  การลงทุนในหลาย ๆ  เรื่องนั้น  ไม่ได้มี “ตลาด” ที่เราจะสามารถ ซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนได้  เราไม่สามารถรับผลตอบแทนทั้งหมดทันที  ผลตอบแทนที่เราจะได้ก็คือ  “ปันผล” ทั้งที่เป็นเม็ดเงินหรือการใช้สอยหรือเรื่องของความสุขที่จะได้รับต่อเนื่องยาวนานไปในอนาคต

การลงทุนที่คิดว่า “ดีที่สุด” ของผมนั้น  ชัดเจนว่าคือการลงทุนในการศึกษาจาก “โรงเรียน” และการหาความรู้โดยเฉพาะจากการอ่านหนังสือตลอดชีวิต เพราะถ้าปราศจากสิ่งนี้  ชีวิตผมคงไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ได้เลย  ผมเคยลองคิดดูว่าถ้าผมเรียนจบแค่ปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมและทำงานไปเรื่อย ๆ  ในโรงงานขนาดใหญ่  โอกาสที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ  1) ผมอาจจะเริ่มมีครอบครัว มีลูก  ซึ่งก็จะทำให้ “ยุ่ง” เกินไปที่จะคิดทำอย่างอื่นและก็คงรู้สึก “เสี่ยง” เกินไปที่จะหันไปทำธุรกิจ “ขนาดเล็ก” ที่ตนเองพอจะมีศักยภาพที่จะทำได้  ดังนั้น  ผลก็คือ  ผมก็คงทำงานเป็นผู้บริหารโรงงานจนถึงวันเกษียณ  ชีวิตก็น่าจะอยู่ดีพอสมควรตามอัตภาพ

หรือ 2) ผมอาจจะพบว่าสามารถเริ่ม “ทำธุรกิจ” ควบคู่ไปกับการทำงานประจำในตอนแรกเพื่อสะสมเงินและประสบการณ์  และถ้าธุรกิจเริ่มไปได้ดี  ก็อาจจะออกมาทำธุรกิจเต็มตัวอย่างที่เพื่อนนักเรียนเก่าหลายคนทำและก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง  ว่าที่จริงในช่วงที่ยังทำงานโรงงานผมก็เริ่ม “รับเหมางาน” ทำบ้างเหมือนกัน  อย่างไรก็ตาม  ถ้าผมทำต่อไปเรื่อย ๆ  โอกาสที่จะมีธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นก็คงจะยากเพราะไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่  และในกรณีนั้น  ผมก็คิดว่ามันก็ไม่ได้ดีไปกว่าการเป็นผู้บริหารด้านการผลิตในโรงงานขนาดใหญ่มากนัก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ชีวิตก็คงจะ “เหนื่อย” พอสมควรทีเดียว

แต่การที่ผมศึกษาต่อจนถึงปริญญาเอกในสายบริหารธุรกิจนั้น  ได้ “ขยายโลก” ให้กว้างขึ้นมาก  มันเหมือนกับการลงทุนในการซื้อหรือถือ “กุญแจ” ที่จะสามารถเปิดเข้าไปสู่โลกใหม่ที่มีโอกาสมากกว่าเดิมมาก  การได้เรียนและรู้จัก “ธุรกิจ” อย่างกว้างขวางในทุกมิติตั้งแต่การจัดตั้งและบริหารธุรกิจ  การระดมทุนและการซื้อขายหลักทรัพย์ที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการในตลาดหลักทรัพย์  รวมถึงการรู้ว่าคุณค่าหรือมูลค่าของกิจการควรเป็นเท่าไรนั้น  ทำให้ผมสามารถ “ลงทุน” ในตราสารทางการเงินเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ “หุ้น” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และนั่นก็นำไปสู่การลงทุนที่ “ดีที่สุด” ในแง่ของผลตอบแทนทางการเงินนั่นก็คือ

การลงทุนในหุ้นกลุ่ม “ค้าปลีกสมัยใหม่” หลาย ๆ ตัวเมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา  ในวันนั้นผมเริ่มตระหนักว่าประเทศไทยได้พัฒนามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่มีรายได้และความมั่งคั่งเพียงพอที่จะบริโภคอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ที่มีคุณภาพสูงและมีความสะดวกที่จะซื้อซึ่งเสนอโดยบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม  “Modern Trade” แทนที่จะซื้อจากร้านค้าแบบดั้งเดิมที่บริหารโดยครอบครัว  หุ้นในกลุ่มนี้ครอบคลุมในแทบจะทุกสินค้าตั้งแต่การขายหนังสือไปจนถึงอุปกรณ์ตกแต่งซ่อมแซมบ้านไปจนถึงอาหารและสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันและสินค้าที่ “สะดวกซื้อ” ในแทบทุกแห่งของประเทศ  และที่สำคัญในช่วงเวลานั้นผมเริ่มที่จะเห็น  “ผู้ชนะ” ที่มีหุ้นซื้อ-ขายในราคาที่ “ไม่แพง” อานิสงค์จากการที่กำไรของบริษัทก็ยังไม่ดีนักเนื่องจากเป็นช่วงต้นของวงจรธุรกิจที่ยังต้องลงทุนสูงและการที่นักลงทุนเองก็ยัง “ไม่รู้จัก” รูปแบบทางธุรกิจหรือ  “Business Model” ของกิจการเหล่านั้น

การลงทุนในหุ้นค้าปลีก  ที่ในเวลาต่อมาผมเรียกว่าเป็นหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก” จำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าเกิน 70% ของพอร์ตและถือไว้ยาวนานเป็น 10 ปีขึ้นไปและบางตัวจนถึงวันนี้นั้น  ได้  “เปลี่ยนชีวิต” ผมไปอย่างสิ้นเชิง  เพราะผลตอบแทนที่ได้นั้นสูง ยาวนาน และมั่นคงมาก  จริงอยู่  หุ้นอีกหลาย ๆ  ตัวที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มค้าปลีกในพอร์ตของผมก็ให้ผลตอบแทนไม่แพ้กันมากนักแต่หุ้นเหล่านั้นผมก็มักจะซื้อและก็ต้องขายไปในเวลาไม่นานนัก  เช่นเดียวกับที่ไม่กล้าถือจำนวนมาก  เหตุผลก็คือ  มันมักจะให้ผลตอบแทนสูงเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ  แค่ 2-3 ปีในช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังดีหรือบริษัทกำลัง  “ขาขึ้น” ด้วยเหตุผลบางอย่าง  ดังนั้น  เราก็ต้อง “เปลี่ยนตัว” เล่นเป็นระยะ ๆ  ไม่เหมือนกับหุ้นกลุ่มโมเดิร์นเทรดที่สามารถซื้อแล้วถือไว้จนกว่าจะหมด “เมกาเทรนด์”  หรือธุรกิจ “อิ่มตัว” ยอดขายไม่โตแล้ว

การลงทุนที่ “ดีที่สุด” ตัวที่สามก็คือ  การลงทุนสร้าง “บ้าน” ที่มี Facility หรือสิ่งอำนวยประโยชน์พร้อม เช่น  มีที่ออกกำลังกาย  มีห้องบันเทิงและมีสวนอยู่ในบริเวณบ้านเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว  เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งก็อาจจะมาจากการที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งทำให้ต้องอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานานจนถึงวันนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้ว  บ้านกลายเป็นสถานที่ที่ผมใช้ทำสิ่งต่าง ๆ  ที่จำเป็นและเพื่อความรื่นรมย์ในชีวิตซึ่งในอดีตนั้นผมแทบจะทำไม่ได้เนื่องจากบ้านมีขนาดเล็กมากและแทบจะใช้เพื่อการนอน  การกินอาหารและการทำงานเท่านั้น  การมีบ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและให้ความรื่นรมย์เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยมี  แต่เมื่อมีแล้วผมก็รู้สึกว่าผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มมาก  และถึงแม้ว่าโควิดก็อาจจะหมดไปในไม่ช้า  ผมก็คิดว่าบ้านหลังนี้ก็จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศอยู่แม้ว่าการลงทุนจะค่อนข้างสูง  แต่เมื่อเทียบกับทรัพย์สินอื่นแล้วก็ต้องถือว่าน้อยมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  นี่ไม่ใช่ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินที่เราหาไม่ได้ง่ายนักจากการลงทุนแบบอื่น

การลงทุนที่ “แย่ที่สุด” สำหรับผมน่าจะเป็นการลงทุนซื้อ “ที่ดิน” ในโครงการจัดสรรย่านบางบัวทองช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 ที่เป็นช่วง “ยุคทอง” ของการซื้อขายบ้านจัดสรร  ที่จริงผมเองไม่ได้ต้องการไปอยู่จริงแต่เป็นการซื้อทิ้งไว้เพื่อเอาไว้สร้าง “บ้านริมคลอง” ในอนาคต  ตอนที่ตัดสินใจซื้อนั้น  ผมมาคิดดูคงเป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดูละครเรื่อง  “สองฝั่งคลอง” ที่กำลังดังในช่วงนั้น  ดูแล้วคงจะ  “อิน” กับการได้อยู่ในบรรยากาศ “โรแมนติก” ของคนที่อยู่บ้านริมน้ำแบบไทย ๆ สมัยก่อน  ดังนั้น  พอมีโครงการจัดสรรที่ดินริมคลองบางบัวทองและผมได้ไปชมโครงการยามที่คลองปริ่มไปด้วยน้ำฤดูฝน  ผมจึงซื้อทันที แต่พอถึงวันที่จะโอน  กรุงเทพก็เจอน้ำท่วมใหญ่  ที่ดินริมคลองบางบัวทองจมมิดหายไปทั้งหมด  น้ำสูงเหนือพื้นดินหลายเมตร  หลังจากนั้น  แม้ว่าน้ำคงจะไม่ท่วมระดับนั้นอีกแล้ว  ราคาที่ดินก็มีแต่ตกต่ำลง  ไม่มีใครไปสร้างบ้าน  ที่ดินรกร้างเต็มไปด้วยหญ้า ถ้าขายตอนนี้ก็คงไม่มีใครซื้อแม้ว่าจะขายครึ่งหรือ 1 ใน 3 ของราคาเดิมหลังจากเวลาผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว  เป็น  “หายนะ” ของการลงทุนโดยเฉพาะเมื่อคิดว่าตอนนั้นผมยังมีเงินน้อยมาก  การลงทุนครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า  “อย่าใช้อารมณ์ในการลงทุนเด็ดขาด”

ทั้งหมดนั้นคือประสบการณ์ที่ผ่านมาของการลงทุนส่วนตัวของผม  อนาคตเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม  ผลลัพธ์ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้  เช่น  ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมก็อาจจะมาลบล้างสิ่งที่ผ่านมาในประเทศไทยก็ได้  อาจมีการลงทุนใหม่ ๆ  ที่เกิดขึ้นที่อาจจะเปลี่ยนโฉมของเดิมได้  สำหรับคนอื่นแต่ละคนนั้น  ผมคิดว่าเขาควรจะคิดหรือประเมินดูเช่นกันว่าอะไรคือการลงทุนที่ดีหรือแย่ที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมาเพื่อช่วยการตัดสินใจต่อไปในอนาคต  สำหรับคนที่ยังมีประสบการณ์น้อยนั้น  ที่ควรจะคำนึงถึงก็คือ  เราอยากจะพบเจอสิ่งที่ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงการลงทุนที่แย่ที่สุด  วิธีที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ก็คือการคิดและลงทุนในแบบ “VI ผู้มุ่งมั่น” ที่คำนึงถึงเหตุผลที่มั่นคงและหลีกเลี่ยงการลงทุนด้วยอารมณ์โดยเฉพาะในยามที่สังคมและสิ่งแวดล้อมชวนให้เราคล้อยตามมากที่สุด

หนุ่มสาวนักลงทุนหลายคนในวันนี้อาจจะหวังว่า อนาคตในอีก 10 หรือหลายสิบปีข้างหน้าจะบอกว่าการเลือกลงทุนในหุ้นดิจิทัลหรือไฮเทคได้เปลี่ยนชีวิตของตนเองในทางที่มหัศจรรย์ อีกหลายคนมากอาจจะเป็นเรื่องของการซื้อ-ขายคริปโทเคอเรนซี  ไม่มีใครรู้  เช่นเดียวกับที่ไม่รู้ว่าอะไรที่จะล้มเหลวกลายเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดในชีวิต  ซึ่งในความคิดผมนั้น  เป็นสิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด  บางทีอาจจะสำคัญยิ่งกว่าความสำเร็จในการลงทุนด้วยซ้ำ  เพราะการไม่ได้ แจ็คพ็อต” ในการลงทุนนั้น  บ่อยครั้งก็ยังรวยได้อยู่ดีถ้าเลี่ยง หายนะ” ได้  ตรงกันข้าม  ถ้าพบกับการลงทุนที่เป็นหายนะและมันมีขนาดใหญ่เกินไป  ทุกอย่างก็อาจจะจบได้ ไม่มีโอกาสได้พบกับการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิต

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/12/20/2605