หุ้นตก

ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์คตกลงมาค่อนข้างแรงเนื่องจากตลาดหุ้นนิวยอร์คนั้นมีขนาดใหญ่มากและความผันผวนของราคาหุ้นต่อวันโดยเฉลี่ยมักจะไม่เกิน 1% ทั้งทางขึ้นและทางลง  นั่นทำให้เกิดความวิตกว่าตลาดหุ้นที่ขึ้นมาแรงอย่างต่อเนื่องและยาวนานมากนับตั้งแต่วิกฤติปี 2008 อาจจะถึงจุดสุดยอดแล้วและหลังจากนี้ก็จะกลับตัวกลายเป็น  “ขาลง” ที่รุนแรงและต่อเนื่องไปอาจจะเป็นปีหรือหลายปีอย่างที่เกิดขึ้นเสมอในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  “ผู้เชี่ยวชาญ” หลายคนก็ทำนายว่าตลาดหุ้นอเมริกานั้นถึงจุดที่จะต้องปรับตัวลง “อย่างแรง” มานานก่อนหน้านี้แล้ว  พวกเขาบอกว่า “เครื่องชี้” ทุกอย่างบอกว่าหุ้นอเมริกานั้นร้อนแรงหรือแพงเกินไป  ปัจจัยมหภาคทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่ต่ำมากเป็นประวัติการณ์มานานนั้น  บัดนี้กำลังทยอยปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  อัตราการว่างงานที่เคยสูงจากช่วงภาวะวิกฤตินั้นลดลงจนต่ำมากเป็นประวัติการณ์รวมถึงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ  เป็นขาขึ้นอย่างรวดเร็ว  และนั่นจะทำให้หุ้นตกลงมาแรงในระดับ “น้อง ๆ  วิกฤติ” บางคนบอกว่าจะเป็น  “หายนะ”

ตลาดหุ้นทั่วโลกดูเหมือนว่าจะตกตามดาวโจนส์  หลายแห่งตกรุนแรงกว่า ผลจากการที่มีแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างประเทศและความ “ตกใจ” ของนักลงทุนในประเทศ  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ภาวะตลาดหุ้นของแต่ละประเทศก็มีพฤติกรรมหรืออาการแบบเดียวกับตลาดหุ้นนิวยอร์คในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานับจากวิกฤติตลาดหุ้นในปี 2008  นั่นก็คือ  ทุกประเทศต่างก็มีสภาพคล่องทางการเงินเหลือล้นอานิสงค์จากการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบและเงินที่ไหลบ่าไปทั่วโลกจากการอัดฉีดนั้นซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ยาวนาน  เฉพาะอย่างยิ่งอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ของไทยนั้นตกลงมาเหลือต่ำกว่า 1% ต่อปีมาน่าจะเกือบ 10 ปีแล้วซึ่งก็ส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาตลอดกลายเป็นทศวรรษทองของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยซึ่งไม่ต่างจากตลาดหุ้นนิวยอร์ค

ดูจากตัวเลขย้อนหลังไปประมาณ 10 ปี  ดัชนีดาวโจนส์เคยอยู่ที่ประมาณ 7,050 จุด  ถึงวันนี้อยู่ที่ประมาณ 25,300 จุด คิดแล้วเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นประมาณ 14.1% ต่อปี  และถ้ารวมปันผลประมาณ 2% เศษ ๆ  ก็จะเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ประมาณ 16% ซึ่งน่าจะเป็นผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นอเมริกา  เช่นเดียวกัน  ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไป 10 ปีนั้น  ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 400 จุด ในช่วงวิกฤติซับไพร์ม  ถึงวันนี้ขึ้นมาเป็น 1,696 จุด คิดแล้วก็เท่ากับให้ผลตอบแทนประมาณ 15.7% เมื่อรวมกับปันผลอีกปีละ 3% เศษ ก็ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 18.7% ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงหนึ่งทศวรรษเช่นเดียวกับตลาดหุ้นนิวยอร์ค

เมื่อมองถึงความถูกความแพง  ค่า PE ของตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อเร็ว ๆ  นี้สูงถึง 22-23 เท่า ซึ่งก็ถือว่าแพงเพราะค่า PE เฉลี่ยระยะยาวในอดีตน่าจะประมาณ 16 เท่า  ดังนั้น  ค่า PE ปัจจุบันน่าจะสูงกว่าปกติถึง 40%   แต่ก็เช่นเดียวกัน  ตลาดหุ้นไทยเองนั้น  ค่า PE ปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 17-18 เท่า  เมื่อเทียบกับ PE เฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 12-13 เท่า ก็ดูเหมือนว่าหุ้นไทยในปัจจุบันก็แพงไปประมาณ 40% เหมือนกัน

มองดูเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนนั้น  ดูเหมือนว่าบริษัทของอเมริกาน่าจะดีขึ้นมากอานิสงค์จากการลดภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์  อย่างไรก็ตาม  “สงครามการค้า” ระหว่างอเมริกากับจีนก็อาจจะทำให้บริษัทหลายแห่งประสบกับปัญหาและทำให้ผลประกอบการถูกกระทบได้ในอนาคต  ในกรณีของไทยเองนั้นก็ดูเหมือนว่าบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่น่าจะมีผลประกอบการดีพอใช้และในอนาคตอันใกล้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีประเด็นอะไรน่าห่วงมากนัก  สงครามการค้าที่อาจจะเกิดขึ้นก็ดูเหมือนว่าไม่น่าจะส่งผลอะไรให้กับไทยมากนักเนื่องจากไทยมีคู่ค้าค่อนข้างกระจายไปทั่วโลกค่อนข้างสูง  อย่างไรก็ตาม  สถานการณ์ของบริษัทไทยในระยะยาวแล้วน่าจะน่าห่วงกว่าของอเมริกา  เหตุเพราะว่าบริษัทใหญ่ ๆ  ในไทยนั้นมักจะเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการในโลกยุคเก่าที่มีความเสี่ยงจะถูก Disrupt หรือไม่โตในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ของอเมริกานั้นต่างก็เป็นบริษัทยุคใหม่ที่น่าจะยังมีโอกาสโตต่อไปได้อีกนาน

มองจากประเด็นทั้งหมดแล้ว  ถ้าจะถามว่าระหว่างตลาดหุ้นอเมริกากับตลาดหุ้นไทยนั้น  ใครจะมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นตกลงมาแรงหรือมากกว่ากันในกรณีที่หุ้นทั่วโลกเกิดการปรับตัวลงหลังจากที่ได้ปรับตัวขึ้นมายาวนานต่อเนื่องมาประมาณ 10 ปีและถือเป็นช่วง  “ยุคทองของการลงทุน”  หรือ  “ทศวรรษทองของการลงทุน” ในตลาดหุ้น  “ของโลก”  คำตอบของผมก็คือ  “ไม่รู้”  สิ่งที่ผมคิดว่ากล้าพูดก็คือ  ถ้าจะเกิดวิกฤติหรือเกิด Panic คือหุ้นตกลงมารุนแรงนั้นมันน่าจะเริ่มจากตลาดนิวยอร์คก่อน  ตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็น  “ผู้ตาม”  ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่ตลาดนิวยอร์คจะตกลงมาอย่างหนักและทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยตกตาม  และการตกตามของไทยนั้นก็อาจจะเป็นการตกตามที่รุนแรงไม่แพ้ตลาดหุ้นนิวยอร์คซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งรวมถึงการตกในช่วงซับไพร์มด้วย  เหตุผลก็คงเป็นเพราะเราเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดเล็กในขณะที่มีนักลงทุนต่างชาติที่ถือหุ้นอยู่จำนวนมากถึงเกือบ 30%  การ “ทุ่มขาย” ของนักลงทุนต่างชาติในยามที่เกิดแพนิกนั้นสามารถทำให้หุ้นตกลงมาแรงมากได้โดยไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานของกิจการหรือของหุ้น  อย่างไรก็ตาม  ในระยะหลัง ๆ  นี้ดูเหมือนว่านักลงทุนไทยจะมีเงินและพร้อมที่จะซื้อหุ้นที่ตกลงมามากขึ้น ๆ  ว่าที่จริงนักลงทุนสถาบันของไทยในระยะหลังดูเหมือนว่าจะมีบทบาทสูงกว่านักลงทุนต่างประเทศในด้านของการชี้นำดัชนีหุ้นแล้ว

โอกาสที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คจะตกลงมาแรงต่อไปอีกนั้นมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน?  นี่เป็นคำถามที่น่าสนใจ  เพราะถ้าเรารู้  เราอาจจะปรับตัวเพื่อรองรับกับสถานการณ์แบบนั้นได้ดีขึ้น  สำหรับผมแล้ว  โอกาสที่หุ้นจะตกแรงคงมีสูงกว่าโอกาสที่หุ้นจะขึ้นแรง  และแม้ว่าเหตุผลทางด้านพื้นฐานของเศรษฐกิจและของบริษัทจดทะเบียนอาจจะยังไม่บอกว่าหุ้นน่าจะแย่แต่ถ้ามองทางด้านประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นที่บอกว่าตลาดมักจะไม่  “ดีติดต่อกันนานมาก” และมักจะต้องปรับตัวลงเป็นระยะเพื่อที่ว่าผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นไม่ควรจะสูงผิดปกติเป็นระยะเวลานาน  ถ้าหุ้นดีติดต่อกันมานาน  ในที่สุดแล้วหุ้นก็จะต้องปรับตัวลง  ประวัติศาสตร์บอกเราด้วยว่าการปรับตัวลงอาจจะแรงและใช้เวลาเร็วมากแบบ “แพนิก”  หรืออาจจะค่อย ๆ ปรับตัวลงอย่างช้า ๆ  แบบ Sideways คือขึ้น ๆ ลง ๆ  เป็นเวลายาวนานก็เป็นไปได้

ในแง่ของนักลงทุน  การเกิดแพนิกนั้นมักจะก่อให้เกิด “โอกาส” ในการซื้อหุ้นที่ยิ่งใหญ่และทำกำไรได้มหาศาล—ถ้าคุณมีเงินสดรอช้อนเก็บมากพอ  อย่างไรก็ตาม  โอกาส  “เจ๊ง”  ก็พอ ๆ  กันหรือมากกว่าถ้าคุณถือหุ้นเต็มพอร์ตหรือเล่นหุ้นโดยใช้การกู้เงินมาก ๆ  เป็นหลาย ๆ  เท่า  ส่วนการลงแบบไซ้ต์เวย์ไปเรื่อย ๆ  นั้น  คุณอาจจะไม่เห็นโอกาสอะไรในตลาดหุ้น  ความเบื่อหน่ายจะค่อย ๆ  คืบคลานมา  นักเก็งกำไรจะค่อย ๆ  หายไปจากตลาด  นักลงทุนระยะยาวแบบ “VI พันธุ์แท้”  ก็จะค่อย ๆ  โตขึ้นจากการมองหาธุรกิจที่ดีในราคาไม่แพงและลงทุนอย่างสบายใจแม้ว่าผลตอบแทนจะไม่ “มหัศจรรย์”  อย่างที่เคยเป็นมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ที่มาบทความ: http://www.thaivi.org

iran-israel-war