หุ้นปราบเซียน

สองสามปีที่ผ่านมาเราได้เห็นหุ้นขนาดเล็กและกลางหลายตัวที่ทำธุรกิจขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภคซึ่งควรเป็นหุ้นที่มีเสถียรภาพกลับมีราคาผันผวนอย่างหนัก  พูดให้ชัดก็คือ  หุ้นเหล่านั้น “อยู่ ๆ”  ก็มีราคาปรับตัวขึ้นไปต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีแบบ  “หลุดโลก”  คือขึ้นไปหลายเท่าหรือบางตัวเป็นสิบ ๆ เท่า  แต่แล้ว “อยู่ ๆ” ก็ตกลงมาอย่างแรงและเร็วมาก  บางทีเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนก็ตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์  หลายตัวลงไปอยู่ที่ราคาเดิมหรือต่ำกว่า   หุ้นที่เคยเป็น “ดารา”  และเป็นหุ้นที่  “เซียน”  และนักเล่นหุ้นรายย่อยถือกันมากมายกลายเป็น  “นางฟ้าตกสวรรค์”    หุ้นที่เคย  “สร้างเซียน” กลับกลายเป็น  “หุ้นปราบเซียน”  คนที่ได้กำไรจากหุ้นนั้น  บางคนโดยเฉพาะเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นดั้งเดิมหรือคนที่เข้าไปเล่นก่อนและ “ออกทัน” อาจจะกำไรมหาศาล  แต่คนที่ขาดทุนซึ่งอาจจะรวมถึงเซียนด้วยนั้นกลับเสียหายมากกว่า

ประวัติศาสตร์ของ “หุ้นปราบเซียน” ตัวหนึ่งในตลาดหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจและอาจจะมีอะไรที่คล้าย ๆ  กับกรณีของหุ้นไทยที่กล่าวถึงก็คือหุ้นของบริษัท  Valeant Pharmaceuticals ที่เคยปราบ  “เซียนหุ้น VI” ในระดับตำนานและระดับโลกในช่วงเร็ว ๆ  นี้

เรื่องราวของหุ้น Valeant นั้น  เริ่มต้นจริง ๆ  น่าจะเป็นช่วงที่มีการควบรวมระหว่างบริษัท Biovail กับ Valeant ในปี 2010  ในเวลานั้นราคาหุ้นของ Valeant อยู่ที่ประมาณสิบเหรียญต้น ๆ  หลังจากนั้น  หุ้น Valeant ที่เคยนิ่งมานานเป็นสิบปีก็เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  เพียงปีเดียวก็ขึ้นไปหลายเท่าตัวที่ราคาประมาณ 50 เหรียญแล้วก็แกว่งตัวอยู่ประมาณปีเศษ ๆ  ก่อนที่จะเริ่มวิ่งติดจรวดขึ้นไปอีกสองเท่าเป็นเกือบ 150 เหรียญในเวลาไม่ถึงสองปี  รวมแล้วใช้เวลาไม่ถึง 4 ปี

หุ้น Valeant ปรับตัวขึ้นไปกว่า 10 เท่าตัวเมื่อต้นปี 2014  หลังจากนั้นมันก็ “พักตัวเล็กน้อย”  หุ้นตกลงมาประมาณ 25% ในเวลา 6 เดือน ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นใหม่อย่างแรงใช้เวลาไม่ถึงปีจากราคาประมาณ 110 ขึ้นไปถึงจุดสุดยอดเป็นกว่า 250 เหรียญในกลางปี 2015  ทำให้หุ้น Valeant เป็นหุ้นที่มี Market Cap. ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่งในตลาดหุ้นของแคนาดาและเป็นหุ้นที่ร้อนแรงสุด ๆ ตัวหนึ่งในตลาดหุ้นนิวยอร์ค และกลายเป็นหุ้น 20 เด้งในเวลาเพียง 5 ปี

สิ่งที่ทำให้หุ้นแวเลี้ยนท์โตขึ้นอย่างมโหฬารนั้นประกอบไปด้วยเรื่องราวหรือสตอรี่ต่าง ๆ  ที่ขายได้ดีโดยเฉพาะกับ “เซียนหุ้น”  ที่เน้นเรื่องของอุตสาหกรรมและการเติบโตของบริษัท  มันเป็นบริษัทขายยาที่ต้องซื้อตามใบสั่งแพทย์  ดังนั้นจึงเป็นหุ้นใน “เมกาเทรนด์”  กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทนั้นเน้นที่การซื้อผลิตภัณฑ์เข้ามาอยู่ในพอร์ตของบริษัท  และสินค้าตัวแรกที่ “จุดชนวน”  ความสนใจก็คือการซื้อบริษัท Bausch & Lomb ซึ่งขายผลิตภัณฑ์ดูแลสายตาชั้นนำระดับโลกในราคา 8.7 พันล้านเหรียญหรือ 3 แสนล้านบาทในปี 2013 ซึ่งทำให้ราคาหุ้นของบริษัทดีดตัวขึ้นทันทีกว่า 10%

กลยุทธ์การเติบโตของรายได้นั้นยังไม่พอ  สิ่งที่ทำให้บริษัทโดดเด่นมาก ๆ  ก็คือการทำกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยการลดต้นทุนโดยการตัดงบค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาซึ่งมักเป็นต้นทุนใหญ่ของบริษัทยาทั้งหลายและทำให้หุ้นบริษัทยายักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ไปไหนมานาน  แต่สิ่งที่ทำให้แวเลี้ยนท์กำไรโตก้าวกระโดดจริง ๆ  ก็คือการที่บริษัทเพิ่มราคาค่ายาขึ้นมโหฬารหลังจากที่ซื้อผลิตภัณฑ์จากคนอื่นมาแล้ว  ตัวอย่างเช่น  ยารักษาคนที่ร่างกายได้รับสารพิษตะกั่วที่เคยขายอยู่ที่ประมาณ 1,000 เหรียญก็ถูกปรับขึ้นไปเป็น 27,000 หรือ 27 เท่า  เพราะบริษัทคิดว่ายังไงคนก็ต้องซื้อเนื่องจากไม่มียาอื่นที่จะแข่งขันได้เป็นต้น

ในสายตาของ “เซียนหุ้นระดับพระกาฬ” บางคน  แวเลี้ยนท์คงเป็นหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก” ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว  บริษัทมี Business Model ที่ไม่เหมือนคนอื่นและจะสามารถทำเงินและโตเร็วสุดยอด  ผู้บริหารมีกลยุทธ์ที่เฉียบคมและ “เป็นมิตร” กับนักลงทุนมาก  และ “เซียนในตำนาน” คนแรกที่เข้าไปซื้อหุ้นก็คือ Sequoia Fund ที่ก่อตั้งโดยบิล รูแอน  คนที่บัฟเฟตต์ยกย่องมากที่สุดคนหนึ่งและเขายังได้แนะนำให้ผู้ลงทุนของกองทุนบัฟเฟตต์เข้าไปลงทุนหลังจากที่เขาปิดกองทุนของตนเองในช่วงก่อนเบิร์กไชร์จะถือกำเนิดในฐานะบริษัทโฮลดิ้ง

กองทุนซีโควย่าเข้าไปถือหุ้นของแวเลี้ยนท์จำนวนมากตั้งแต่ปี 2010 ในราคาเพียงหุ้นละ 16 เหรียญและภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนจนถึงสิ้นปีก็ทำกำไรได้ถึง 70% ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองรองจากหุ้นเบิร์กไชร์ที่ซีโควย่าถือมานาน  และเพียง 3 เดือนของปี 2011 หุ้นแวเลี้ยนท์ก็ปรับตัวขึ้นไปอีก 76% ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในพอร์ตของซีโควย่าแทนที่เบิร์กไชร์  ซีอีโอของแวเลี้ยนท์คือ Mike Pearson กลายเป็นบุคคลที่ “สุดยอด” ในสายตาของซีโควย่าเช่นเดียวกับกรณีของบัฟเฟตต์ที่เป็นบุคคลที่ “สุดยอด” ที่ช่วยนำพาให้กองทุนซีโควย่ากลายเป็นสุดยอดกองทุนที่มีผลงานโดดเด่นเป็นเวลากว่า 40 ปี

เซียนหุ้นคนที่สองที่น่าจะใกล้เป็น “ตำนานนักลงทุน” ก็คือ William หรือ Bill Ackman ผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Pershing Square Capital Management  ได้ประกาศว่าเขาได้เข้าไปซื้อหุ้น Valeant 5% ในวันที่ 9 มีนาคม 2015 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท  ราคาหุ้นแวเลี้ยนท์ในขณะนั้นคือประมาณ 200 เหรียญต่อหุ้น  เขาเข้าไปซื้อในช่วงที่หุ้นกำลังร้อนแรงสุดขีด  แต่การเข้าไปซื้อของเซียนหุ้นที่ยิ่งใหญ่ระดับนั้นด้วยเม็ดเงินระดับนั้นก็ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นต่ออย่างรวดเร็ว  หุ้นขึ้นไปถึง 250 เหรียญในอีก 3-4 เดือนต่อมาซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรมาหยุดยั้งหุ้นแวเลี้ยนท์ได้แล้ว

แต่แล้วอยู่ ๆ ในช่วงเดือนตุลาถึงพฤศจิกายน บริษัท Citron Research ซึ่งน่าจะเป็นบริษัทแนวขุดคุ้ยหาความไม่ชอบมาพากลของบริษัทจดทะเบียนแล้วเปิดเผยให้สาธารณะชนรู้เพื่อที่จะทุบหุ้นและทำกำไรจากการชอร์ตเซลก็ออกมาเปิดเผยว่ามีการ “โกง” เพราะแวเลี้ยนท์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับบริษัทขายยาทางไปรษณีย์ชื่อ Philidor ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยผู้บริหารบริษัทบางคนทำการ “ตัดหัวคิว” ยาของบริษัท  นอกจากนั้นบริษัทก็กำลังถูกตรวจสอบจากอัยการเกี่ยวกับเรื่องของการตั้งราคายาและการจัดจำหน่าย  อย่างไรก็ตาม บิล แอ็คแมน ก็ยังประกาศสนับสนุนบริษัทและให้ความมั่นใจว่าบริษัทยังดีอยู่โดยการซื้อหุ้นเพิ่มอีก 2 ล้านหุ้น  แต่ก็ดูเหมือนว่าหุ้นกำลังเริ่ม “ไหล” ลงอย่างแรง  ราคาลดลงมาเหลือ 70 กว่าเหรียญในช่วงปลายปี 2015

มีนาคมปี 2016 ซีอีโอ Mike Pearson ประกาศลาออกหลังจากบอกว่างบไตรมาส 1 ประกาศไม่ได้เพราะมีข้อผิดพลาดทางบัญชี  บิล แอคแมนต้องเข้ามาเป็นกรรมการเพื่อปรับโครงสร้างบริษัท  หุ้นขณะนั้นตกลงมาเหลือเพียง 30 เหรียญเศษ ๆ  ขณะนี้นักการเมืองรวมถึงฮิลลารีคลินตันซึ่งกำลังหาเสียงเป็นประธานาธิบดีต่างก็ออกมา  “รุมยำ” เรื่องของยาราคาแพงหลุดโลกของบริษัททำให้บริษัทต้องประกาศคืนเงินกว่า 40% ให้กับยารักษาโรคหัวใจสองตัวซึ่งบริษัทเคยปรับขึ้นไป 300-700% หลังจากซื้อผลิตภัณฑ์มา  ถึงปลายปี 2016 ดูเหมือนว่าบริษัทและผู้บริหารจะถูกสอบสวนและถูกคดีที่เกี่ยวข้องกับการโกงและความไม่โปร่งใสหลายคดี  หุ้นตกลงมาเหลือเพียง 15 เหรียญ

มีนาคมปี 2017 บิล แอคแมน ประกาศขายหุ้นทิ้งทั้งหมดขาดทุนไป 3 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 100,000 ล้านบาท  ทำให้หุ้นราคาตกลงไปเหลือประมาณ 11 เหรียญ เท่า ๆ  กับหลายปีก่อนก่อนที่หุ้นจะเริ่มขึ้น

ซีโควย่าเองนั้น  ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องก็ทำคล้าย ๆ  กับบิล แอคแมน  ประกาศสนับสนุนแวเลี้ยนท์ตลอดเวลาและให้ความมั่นใจโดยการซื้อหุ้นเพิ่มจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท  และหุ้นที่ถือมีมูลค่าถึง 32% ของพอร์ตซึ่งสูงจนไม่น่าเชื่อสำหรับกองทุน  ซีอีโอของซีโควย่าคือ David Poppe ประกาศคำพูดคลาสสิกของบัฟเฟตต์ว่า  “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัวและกลัวเมื่อคนอื่นกล้า” เขายังอ้างว่าหุ้นเบิร์กไชร์ก็เคยตกลงมา 50% และเขาก็ยังถืออยู่และหลังจากนั้นมันก็ปรับขึ้นมา

แต่แวเลี้ยนท์ไม่เหมือนเบิร์กไชร์  แปดเดือนต่อมาซีโควย่าขายหุ้นแวเลี้ยนท์ทั้งหมดทิ้งหลังจากที่ราคาตกลงมา 90% ในเวลาไม่กี่เดือน  ทรัพย์สินของกองทุนตกลงมาจาก 9 พันล้านเหลือเพียงไม่เกิน 5 พันล้านเหรียญ  หุ้นเพียงตัวเดียวทำลายกองทุนที่เป็นหนึ่งในกองทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดตลอดกาลที่บัฟเฟตต์ชื่นชม  นี่คือ “หุ้นปราบเซียน” ที่แท้จริง  ผมเองไม่แน่ใจว่าในตลาดหุ้นไทยเมื่อเร็ว ๆ  นี้  หุ้นตัวไหนคือ “หุ้นปราบเซียน”  น่าเสียดายที่เราไม่มีข้อมูลหรือยังไม่มีข้อมูลสาธารณะว่าใครคือคนที่เจ็บที่สุด  เวลาอาจจะเป็นตัวบอก

ที่มาบทความ: https://board.thaivi.org/

iran-israel-war