หาเหยื่อในดงฉลาม

กรณี “โกงบิทคอยน์” ที่กำลังเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ติดต่อกันหลาย ๆ  วันนั้น  ผมคิดว่าอาจจะทำให้คนที่ไม่ได้ติดตามและวิเคราะห์อย่างละเอียดได้ “ภาพ” ที่ผิดจากความเป็นจริง  เช่น  คิดว่ามีกลุ่มคนโกงที่มีความฉลาดรอบรู้หลอกหรือต้มตุ๋นคนที่โลภและไม่เข้าใจว่าอะไรคือบิทคอยน์ให้เข้าไปเล่นและเสียเงินให้กับคนโกง  เป็นต้น   เพราะความเป็นจริงดูเหมือนจะเป็นเรื่องของคนที่เป็น  “เซียน” หรือเป็น  “ขาใหญ่”  เจอกับ “ขาใหญ่”  ที่ฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ  เสียเงินก้อนใหญ่ระดับเกือบพันล้านบาทไปแล้วและกำลังพยายามเอาคืน  แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ใช่ว่าจะชนะ  เพราะกำลังประสบกับการรุกคืนที่อาจจะทำให้ “เจ็บ” รุนแรงยิ่งกว่า

สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนั้น  ต้องขอบอกก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะบอกว่าใครโกงเพราะนั่นเป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์กันต่อไปในศาล  สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือเรื่องของ  ความเสี่ยงของนักลงทุนหรือ “นักเล่นหุ้น” หรือตราสารหรือเครื่องมือลงทุนต่าง ๆ ว่าโดยทั่วไปจะมีสองอย่างนั่นก็คือ  หนึ่ง  ความเสี่ยงของตราสารหรือทรัพย์สินลงทุนที่เราจะซื้อว่ามันมีค่าสมควรแก่ราคาและราคาจะตกลงไปหรือไม่  และสองก็คือ  ความเสี่ยงจากการซื้อขายแลกเปลี่ยน  หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเราจะได้ของที่ถูกต้องในจำนวนที่ถูกต้องแค่ไหนเมื่อเราจ่ายเงินไปแล้ว  เพราะทั้งสองสิ่งนี้สามารถที่จะทำให้เรา  “เจ๊ง” ได้ง่าย ๆ

กลับมาดูกรณีของการ “โกงบิทคอยน์” นั้น  ข้อเท็จจริงของเรื่องก็คือ  มีนักลงทุน “รายใหญ่” ที่ผมคิดว่าน่าจะต้องมีความรอบรู้ในเรื่องของการลงทุนไม่น้อยเลย  ถ้าจะเปรียบเทียบก็น่าจะคล้าย ๆ  กับ “ปลาฉลาม” หรือความสามารถระดับน้อง ๆ  ฉลามที่สามารถล่าเหยื่อไปในน่านน้ำกว้าง  เหตุเพราะว่ามีพอร์ตหรือมีเงินจำนวนมากแถมเป็นเงินในรูปแบบบิทคอยน์ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญทางการเงินมากพอเท่านั้นที่จะทำได้  เขาตกลงและจ่ายเงินหรือบิทคอยน์ซึ่งก็คือเงินสกุลหนึ่งเพื่อซื้อหุ้นของหลายบริษัทผ่านการแนะนำและจัดการหรือทำรายการโดยคนที่ “รู้จัก” และน่าจะมั่นใจได้ว่าจะ  “ไม่โกง”  ทั้งหมดนี้ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดปกติ  ถ้าจะพูดว่าตนเอง “ถูกหลอก” ให้หลงซื้อหุ้นหรือตราสารการเงินที่ไม่มีค่าก็น่าจะยากที่จะเอาผิดคนขายได้เนื่องจากตนเองไม่ใช่ชาวบ้านหรือนักลงทุนรายเล็ก ๆ ที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการลงทุน  เหนือสิ่งอื่นใด  คนที่ซื้อ “หุ้นปั่นหุ้นเน่า” ในตลาดหลักทรัพย์หรือซื้อหุ้นผิดพลาด  หุ้นตกลงไปจนกลายเป็นศูนย์หรือเหลือน้อยมากก็มีอยู่ตลอดเวลา  จะไปอ้างว่าตนเองถูกหลอกนั้นคงทำไม่ได้

ประเด็นที่สองก็คือเรื่องที่กล่าวโทษว่าจ่ายเงินหรือบิทคอยน์ไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับหุ้นหรือตราสารที่ตกลงกันและนี่ก็คือเรื่องของการ “โกง” ที่เป็นข่าวเป็นเรื่อง  และนี่เป็นประเด็นที่น่าจะต้องไปพิสูจน์กันในศาล  ซึ่งนาทีนี้ดูเหมือนว่าน่าจะมีข้อโต้แย้งว่าฝ่ายที่ขายบอกว่าคนซื้อไม่ยอมรับโอน อาจจะเนื่องจากราคาของตราสารหรือหุ้นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ลดลงจนทำให้คนซื้ออยากจะได้เงินคืน   ผมเองไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร  แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นปัญหาก็คือ  การซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์หรือตราสารที่อยู่ “นอกระบบ” เช่นบิทคอยน์หรือหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์นั้น  มีความเสี่ยงในด้านของ Execution หรือการเปลี่ยนมือกันสูง  ผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจึงปล่อยให้มี “ช่องว่าง” ระหว่างการจ่ายเงินกับการโอนหุ้น  บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีของการซื้อขายบิทคอยน์ก็เป็นได้  หรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องของการโกงจริง ๆ  ก็คือคนขายไม่ได้มีหุ้นหรือตราสารในมือหรือมีแต่ไม่โอนให้ทันทีก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน

เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น  ผมคิดว่าคงไม่เป็นข่าวใหญ่และดังขนาดที่เห็นถ้าไม่ใช่ “ตัวละคร”  และเหตุการณ์ต่อจากนั้นที่มีการโอนเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นและตราสารแก่บุคคลอื่น ๆ  หลาย ๆ  ราย ซึ่งรวมถึงดารา  คนที่มีอิทธิพล  และ “เจ้าพ่อตลาดหุ้น”  รวมถึงการที่มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยและทั้งหมดนั้นกำลังถูกสอบสวนและอาจจะได้รับข้อหา  “ฟอกเงิน” ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และมีโทษสูง  ทั้งหมดนั้นทำให้ข่าวมีสีสันและ “ขายได้” โดยเฉพาะเมื่อนำมาผสมกับคำว่า “บิทคอยน์” และคอยน์ชื่ออื่นที่มักจะมีเรื่องราวฉาวโฉ่ปรากฏอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะจากต่างประเทศ  ในความคิดของผม  คนกลุ่มนี้ก็คือ “ฉลาม” หรือน้อง ๆ  ฉลาม  ที่กำลังถูก “ฉลาม” เล่นงาน  เหตุเพราะว่าในตลาดการลงทุนโดยเฉพาะการเก็งกำไรในตราสารหรือเครื่องมือการลงทุนใหม่ ๆ  เช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพนั้น  มันเป็นเสมือนน่านน้ำที่เต็มไปด้วยฉลามหรือเป็น  “ดงฉลาม” ที่บ่อยครั้งแม้แต่ฉลามหรือน้อง ๆ  ฉลามก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อเสียเองได้

พูดกันตามตรง  ผมเองรู้จักกับนักลงทุนรวมถึง VI ระดับ  “เซียน” หลายคนเข้าไป “เล่น” ในตลาดนี้  การตัดสินใจลงทุนนั้นมักจะทำกันอย่างรวดเร็วมากหลังจากที่ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเสนอความคิดและผลิตภัณฑ์ของเขา  เหตุผลอาจจะเป็นว่าถ้ามัน “ดี” และคุณตัดสินใจช้า  หุ้นอาจจะหมด  คุณอาจจะเห็นความเสี่ยงมากมายและมี “ช่องว่าง” ที่เปิดอยู่ขนาดที่เรียกว่าถ้าเขา “เบี้ยว” คุณแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยเพราะกฎหมายอาจจะก้าวไปไม่ถึง  เงินลงทุนคุณอาจจะศูนย์และคุณอาจจะถูกตั้งคำถามในภายหลังว่า  คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร?  ไม่ได้นึกถึงความเสี่ยงเลยหรือ?  ทั้งความเสี่ยงเรื่องของธุรกิจและเรื่องของการโอนหุ้นหรือการทำตามสัญญาที่มักจะ “ไม่มีผลบังคับ”  ทั้งหมดนั้น  ผมได้รับคำตอบว่า  ในวงการนี้  คุณต้องเชื่อมั่นและไว้ใจผู้บริหาร  ความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งหมดอยู่ที่ผู้บริหาร  ถ้าคุณคิดว่าเขาจะโกงคุณก็อย่าไปลงทุน  คุณไม่มีสิทธิที่จะไปตั้งเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น

เพื่อนผมที่ไปลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพนั้นต่างก็รู้และเข้าใจความเสี่ยงที่สูงลิ่วในทุกด้านดี  เขาคิดว่าเงินที่ลงทุนนั้นเป็นเงินจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับพอร์ตโดยรวมของพวกเขา  ดังนั้น  ถ้ามันจะสูญหายไปก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้ามันดี  ผลตอบแทนก็อาจจะมหาศาล  กำไรอาจจะเป็นมากกว่าสิบเท่าหรือสิบเด้งภายในเวลาไม่กี่ปี  ว่าที่จริงมันก็อาจจะไม่ต่างกับหุ้นเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์มากนักแม้ว่าโอกาสได้เสียของสตาร์ทอัพอาจจะสูงกว่า  ลึก ๆ  แล้ว  ผมคิดว่าบางคนอาจจะซื้อหุ้นของสตาร์ทอัพด้วยมุมมองที่ว่าถ้ามันเกิด  “แจ็คพอต” เขาก็รวยไปเลย  คล้าย ๆ  กับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแต่ด้วยโอกาสที่สูงกว่ามาก  เหนือสิ่งอื่นใด  เขามีสิทธิวิเคราะห์และเลือกด้วยวิจารณญาณของตนเอง

สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ  ไปแล้ว  ผมคิดว่าเราต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนที่อยู่ “นอกระบบ” ของตลาดหลักทรัพย์และทางการทั้งหมด  เหตุผลเพราะมันเสี่ยงเกินไป  แม้แต่ผมเองที่อยู่ในตลาดมานาน  ผมก็หลีกเลี่ยงการลงทุนในสตาร์ทอัพหรือการลงทุนที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง  ผมชอบการลงทุนในธุรกิจที่มั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยถึงแม้ว่ามันอาจจะโตช้ากว่า  ผมชอบที่จะลงทุนเงิน 100% ในหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากกว่าที่จะลงทุนเพียง 60-70% หรือน้อยกว่านั้นแต่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูงลิ่วถ้าธุรกิจประสบความสำเร็จตามที่คาดแบบหุ้นสตาร์ทอัพ  ในช่วงที่อายุยังไม่มากนั้น  ผมเองเคยลงทุนในหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่มีตลาดหุ้นรองรับ  กิจการไฮเท็คแนว “สตาร์ทอัพ”  และหุ้น “ก่อนจะเข้าตลาดทรัพย์”  โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงเท่าที่ควร  ผลที่ได้รับก็คือความผิดหวัง  บางบริษัทผมยังมีใบหุ้นอยู่แต่บริษัทคงหายไปแล้ว  ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ  บางบริษัทนั้นตอนนี้ผันตัวกลายเป็นหุ้นจดทะเบียนไปแล้ว  แต่ใบหุ้นเก่าของผมนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นแค่กระดาษ  ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  เขาคงโอนกิจการทั้งหมดไปที่บริษัทใหม่และปล่อยให้บริษัทเดิมตายไปกระมัง

ที่มาบทความ: thaivi.org

iran-israel-war