Selecting-Fund-2559

 

เลือกกองทุนอย่างไรดี กับปี 2559 ?

สวัสดีครับมาพบกับผม หมอนัทกันอีกครั้งนะครับ ในปีที่แล้วผมเชื่อว่าใครหลาย ๆ คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะมึน ๆ รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ เพราะว่าเริ่มต้นในปี 2558 จากดัชนีที่อยู่ประมาณ 1500 จุด จนปลายปีปรับตัวลดลงอยู่ที่ประมาณ 1300 จุด หรือปรับตัวลงมาประมาณ -13% (วันที่ 17 ธ.ค.2558) ซึ่งเหตุผลน่าจะมาจากการที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว ภาคการส่งออกเองก็ย้ำแย่ ทำให้บริษัทต่าง ๆ ได้กำไรน้อยกว่าที่ประเมินกันไว้ แถมต่างชาติก็ทยอยเก็บเงินจากบ้านเราไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ที่ดูแล้วสดใสกว่า โดยเฉพาะยุโรป ญี่ปุ่นที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เรื่อย ๆ  และสหรัฐ ฯ ที่หลังจากเศรษฐกิจกลับมาดี ทำให้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ก็ดึงดูดนักลงทุนได้เยอะพอสมควร

แต่อย่าเพึ่งหมดหวังนะครับ ผมคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2559 จะฟื้นตัวได้ในระดับ 3.0-4.0% เพราะว่า รัฐบาลได้กระตุ้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น รถไฟฟ้า เส้นทางมอเตอร์เวย์ใหม่ รถไฟรางคู่ และยังมีโครงการต่าง ๆ อีกมากเลยครับ ซึ่งก็น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี รวมถึงการท่องเที่ยวที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้

ส่วนการส่งออกก็อาจจะต้องรออีกหน่อย เนื่องจากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ แต่ก็อยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่เป็นลูกค้าหลักของไทยเรา เองกลับไปเน้นการบริโภคภายในประเทศ ทำให้ไม่ได้เติบโตเท่าที่ควร แต่การส่งออกไปยังประเทศกลุ่ม CLMV ก็ถือว่าเป็นความหวังใหม่ของตลาดการส่งออกของบ้านเรา เพราะว่าการส่งออกสินค้าตามชายแดนไทยมี อัตราการเติบโตสูงกว่า 10-20% เลยทีเดียว

ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2559 ก็มีหุ้นในกลุ่มต่าง ๆ ที่น่าลงทุนอย่างเช่น 1. หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2. หุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Digital Economy จากภาครัฐ 3. หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว โรงพยาบาล

 

กองทุนไหน ที่ไปลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล่านี้ ผมก็คิดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีไปด้วยครับ

 

คราวนี้เรามาดูกันต่อครับ ว่าในปีหน้านั้นมีประเทศไหนที่น่าสนใจในการลงทุนกันบ้าง แต่เวลาที่เราจะเลือกลงทุนกับตลาดหุ้นในต่างประเทศนั้น ผมมักจะใช้หลักคิดง่าย ๆ 4 ข้อในการตัดสินใจลงทุนในแต่ประเทศดังนี้ครับ

  1. มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี
  2. มูลค่าของตลาดหุ้นมีราคาถูก เมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตในอนาคต
  3. มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  4. มีกระแสเงินไหลเข้า

ซึ่งประเทศที่มีคุณสมบัติครบ 4 ข้อนี้ หรือ มีใกล้เคียงกันก็ได้แก่

  1. ยุโรป เพราะว่า ถ้าพิจารณาจากหลัก 4 ข้อที่ผมได้ให้ไว้ ตลาดหุ้นยุโรป นั้น ถือว่าสอบผ่านแบบฉลุย ตอนนี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดี บริษัททำกำไรได้มากขึ้น เงินลงทุนก็มีการไหลเข้ามากขึ้น เพราะว่ามี QE ช่วยส่งเสริม ดอกเบี้ยก็ต่ำเตี้ยติดดิน และหุ้นราคาก็ยังไม่แพงมากเมื่อเทียบกับการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นครับ ทำให้ใครที่ลงทุนไปก่อนหน้านี่ได้ผลตอบแทนที่ดีครับ ซึ่งผมเองก็ยังมองว่าก็น่าจะดีต่อเนื่องต่อไปในระยะ 2-3 ปีหลังจากนี้
  2. ถัดมาก็เป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ เนื่องจากการรัฐบาลของนาย อาเบะ นั้นได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน บริษัทส่งออกได้กำไรมากขึ้น จากค่าเงินเยนอ่อนลงด้วยนโยบายการทำ QQE แถมยังมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ีมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลนี้ได้สร้างความโปร่งใสให้กับตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากขึ้นอีกด้วยครับ ทำให้ 1-2 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นญี่ปุ่นเองก็ปรับตัวดีขึ้น และในปีหน้าก็น่าจะยังทำผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมากนัก เพราะว่าราคาเริ่มที่จะสูงขึ้นมาพอสมควรครับ
  3. สุดท้ายคือ ตลาดหุ้นจีน ที่แนวโน้มดูเหมือนจะแย่ลงกว่าปีก่อน ๆ เพราะว่าการเติบโตของ GDP ที่ดูแล้วต่ำลงกว่าแต่ก่อน แต่จริง ๆ แล้วจีนพยายามปรับแผนไปเน้นการบริโภคภายในประเทศมากกว่าการผลิตเพื่อส่งออก ดังนั้นถึงแม้ตัวเลขการผลิตจะลดลง แต่ตัวเลขการบริการกลับเพิ่มขึ้นแบบสวนทาง ทำให้เรายังเห็นศักยภาพในระยะยาวของจีนและ ถึงแม้จีนจะโตน้อยกว่าที่ผ่านมา แต่ถ้ารักษาการเติบโตได้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ อีกประมาณ 10 ปี จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าสหรัฐ ฯ อยู่ดี แถมมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เรื่อย ๆ ส่วนราคาหุ้นก็ยังไม่แพงครับ ถือว่าถูกมากเมื่อเทีบบกับประเทศอื่น ๆ ดังนั้น ในปีหน้าผมมองว่าจีนเองก็ยังคงน่าลงทุนครับ

 

ในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงนั้น นอกจากการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย กองทุนหุ้นต่างประเทศ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น หรือ จีน ยังมีกองทุนอีกประเภทที่น่าลงทุนในปีหน้าอยู่อีกประเภทคือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในรูปแบบของ Fund of Property Fund ที่กองทุนประเภทนี้ก็ยังน่าสนใจ ก็เพราะว่า กองทุนแบบนี้ความผันผวนไม่สูงมาก แต่ได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ เหมาะกับการลงทุนระยะยาว ๆ อย่างน้อย ๆ ผลตอบแทนที่ได้ต่อปีก็ไม่น้อยเลยครับ อยู่ที่ประมาณ 6-8% ต่อปี ซึ่งในปีนี้ที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน แต่กองทุนประเภทนี้กลับทำผลตอบแทนได้ดี และในปีหน้านี้ ผมก็ยังคงมองว่าน่าจะเป็นปีที่ดีของกองทุนประเภทนี้อีกเช่นเดิมครับ

 

สุดท้ายนี้ก่อนจะลาจากกันไป สิ่งสำคัญในการเลือกลงทุนกับกองทุนไม่ใช่ว่าเป็นกองทุนไหนดีที่สุด แต่คือ นักลงทุนต้องรู้ว่า กองทุนที่เราถือนั้น ไปลงทุนกับสินทรัพย์แบบไหน แนวโน้มของการลงทุนเป็นอย่างไร เพราะอะไรเราจึงเลือกลงทุน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะการที่เราไม่รู้ว่าเราลงทุนกับอะไรอยู่ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงที่สุดครับ อย่างที่สุดยอดผู้จัดการกองทุนตลอดกาลได้กล่าวไว้ว่า

“จงรู้ว่าคุณถืออะไรอยู่บ้าง และจงคิดว่าคุณถือมันไปทำไม”

Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินช์)

 

ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน และขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะครับ แล้วพบกันครับ