ตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดใน Asean เมื่อเริ่มไตรมาสที่ 3  โดยที่ตลาดหุ้นไทยถือเป็น Rate Sensitive Stocks คือ จะให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อ Bond Yield อยู่ที่ระดับต่ำหรือดอกเบี้ยไม่มีแนวโน้มขาขึ้น เพราะฉะนั้น Earning Yield Gap Model จะเป็นตัวอธิบายว่าตลาดหุ้นไทยจะแตะระดับ 1,700-1,750 หรือไม่ โดยที่ Yield อยู่ระดับต่ำ ตลาดหุ้นไทยจะ Sideway Up โดยที่มีการ Rotation ระหว่างกลุ่ม Domestic Play อาทิกลุ่ม Property, Bank, Retail, Food และ External Cyclical Play อาทิ กลุ่ม Export, Oil, Petrochemical ซี่งจะเป็นการ rotate สลับกัน ขึ้นอยู่กับ Valuation

  • เมื่อเราพิจารณาถึงอัตราส่วน Market Cap ของตลาดหุ้นไทย ต่อ/M2 (หรือฐานเงินอย่างกว้าง ซึ่งบ่งบอกถึงปริมาณเม็ดเงินในประเทศทั้งหมดรวมถึง Non-Residence Baht Account) บ่งบอกถึงดัชนีเป้าหมายของ SET ในระยะสั้นที่ 1,680 ถ้าการที่ SET Index จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจะต้องมีเม็ดเงินใหม่เพิ่มขึ้น
  • ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรจับตาดูการประชุมของ Fed ในวันที่ 19-20 ก.ย. ที่จะประกาศการลดขนาดงบดุลอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4 นี้ โดยที่นักลงทุนคาดว่า Fed จะลดขนาดงบดุลประมาณ 10,000 ล้านเหรียญฯ ในไตรมาส4 และขยับเป็น 20,000 ล้านเหรียญฯ ต่อเนื่องในไตรมาส1 ปีหน้า ในขณะที่ความน่าจะเป็นที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธันวาคมนี้ มีอยู่ประมาณ 47%
  • นักลงทุนควรจับตาดู Dot Plot ของ Fed หรือ (Consensus ในการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed) ถ้า Median Dot Plot ในปี 2018 ลดลงจากปัจจุบัน 2.125% มาสู่ระดับต่ำกว่า 2% จะบ่งบอก Bull Market ของตลาดหุ้นจะต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่า Fed มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งเท่านั้นในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า และคาดว่าจะมีการประกาศลดขนาดของงบดุล Fed ในการประชุมช่วงเดือนกันยายนนี้
  • ในตลาดการเงินของไทย ในการประชุมวันที่ 27 ก.ย. หลังจากที่ค่า Swap rate ที่มีอายุ 1 ปี ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สู่ระดับ  1.12% บ่งบอกถึงโอกาสประมาณ 50%  ที่ กนง. อาจจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 bps และหุ้นที่เป็น Rate Sensitive Stock เช่น Property, กลุ่มเช่าซื้อหรือ Non-bank ที่ Undervalue , Contractor ขนาดเล็ก และหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานจะมีการ Rerate ขึ้น

ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/Trinitysecuritiesgroup